หรือคนโนราณเคยเจอกับจานบินมาแล้ว |
ถ้าใครได้อ่านตอนแรกคงจะคิดกันว่ามันจบครึ่งๆ กลางๆ เขียนไม่ทันไรก็จบซะแล้ว ครับพอดีเห็นว่ามันเยอะแล้วเลยตัดตอนออกเป็น 2 ตอน ไม่มีอะไรจะพูดและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อ่านต่อเลยดีกว่า
วันที่ 21 ตุลาคม ปี 1978 เฟร็ดดริก วาเลนติช ขับเครื่องบินส่วนตัว เชสนา 182 จากเมลเบิร์น ไปยังเกาะคิงโดยข้ามช่องแคบแบซซ์ เวลา 7.06 น. เขาสังเกตเห็นดวงไฟสี่ดวงลอยเหนือเครื่องบินเขา จึงแจ้งวิทยุไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรการบินที่เมลเบิร์น เพื่อถามว่ามันคืออะไร หลังจากนั้นก็มีการถามกลับไปกลับมากันอยู่หลายประโยค แต่พอจะสรุปใจความได้ว่า นาย เฟร็ดดริก วาเลนติช เจอกับยานบินลึกลับที่มีแสงว่างในตัวเองบินรอบเครื่องบินด้วยความเร็วสูง สังเกตจากที่เขาไม่สามารถบอกรูปร่างของยานประหลาดนั้นได้ ทางศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศก็บอกว่าไม่เครื่องบินชนิดใดในบริเวณนั้น และดูเหมือนว่าทางศูนย์ ฯ ไม่เชื่อว่ายานนั้นจะแว่บหายไปตามคำพูดของนักบิน จากนั้นสัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปพร้อมกับนายเฟร็ดดริก วาเลนติช ไม่มีใครเจอเขาหรือซากเครื่องบินเชสนา 182 อีกเลย !!!
ภาพอะไรไม่รู้ลงมาให้ดูเล่นๆ |
เรื่องนี้จานบินไม่ได้โผล่ที่เครื่องบินอย่างทุกครั้งแต่มันชัดกว่านั้น เพราะว่ามันไปโผล่ที่บนท้องฟ้าของกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่านในปี 1976 วันที่ 19 กันยายน ตอนเที่ยงคืนเล็กน้อย มีคนโทรศัพท์ไปที่ฐานบินแอร์ฟอร์ซชาห์โรกี ว่ามีจานบินส่องแสงสว่างบนท้องฟ้า เมื่อเรื่องทราบถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือ จึงส่งเครื่องไอพ่น F – 4 แพนทอมขึ้นไป แต่บินไปได้ 25 ไมล์จากยานประหลาดนั้นเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดหยุดทำงานเสียเฉยๆ เป็นผลทำให้ต้องบินกลับฐาน แต่ยังไม่ทันถึงฐานบินเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เครื่องบินลำที่ 2 จึงออกติดตามต่อ แต่จานบินก็บินหนีออกห่างไป
ครั้นเครื่องบินไอพ่นลำที่ 2 พยายามบินตามติด จานบินนั้นก็ปล่อยลูกไฟดวงเล็กๆ พุ่งเข้ามา และเหมือนหนังฉายซ้ำเครื่องมือสื่อสารก็หยุดทำงาน แล้วยานบินขนาดเล็กหรือจานลูกนั้นก็กลับไปบินรอบจานบินลำใหญ่ แต่เหมือนกับว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะจานผีนั้นปล่อยจานผีเล็กออกมาและบินห่างออกไปลงจอดอย่างนิ่มนวลบนบึงที่แห้งขอด ส่วนจานผีลำใหญ่ได้ลับหายไปกับกลีบเมฆทางทิศใต้ของกรุงเตหะราน เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจที่บึงแห้งขอดที่จานผีลำเล็กลงจอด แต่ไม่เจอร่องรอยแต่อย่างใด ?
สภาพป่าที่วัตถุลึกลับตกใส่ |
เมื่อโลกโดนถล่มด้วยอาวุธของจานบิน
ถึงจะใช้คำแรงไปหน่อยแต่มันไม่ต่างกันนักหรอก เพราะวัตถุลึกลับที่ตกลงมามันแรงพอๆ กับระเบิดประมาณูขนาดเล็ก! ในปี 1908 เขตไซบีเลียของรัสเซีย มีคนพบเห็นวัตถุลึกลับตกลงมาจากฟ้าแล้วเกิดระเบิดขึ้นเป็นแนวราบ แรงระเบิดครั้งนั้นทำให้ต้นไม้ล้มระเนระนาดกว้างหลายตารางไมลล์ บ้านเรือนพังพินาศ และเกิดหมอกปกคลุมในลอนดอนและเนเธอร์แลน ชาวบ้านชาวช่องของลอนดอนพากันโทรศัพท์กันวุ่นวายเพราะคิดว่าเกิดไฟไหม้ในลอนดอน ด้วยเหตุที่มันอยู่ห่างไกลชุมชนและเหตุผลทางการเมืองทางรัสเซียจึงไม่ให้ความสนใจเท่าไหร่
ปี 1927 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ดร. ลีโอนิด เอ.คูลิค ผู้เชียงชาญอาวุธระเบิด รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบบริเวณที่โดนระเบิด ถึงจะผ่ามานานกว่า 20 ปี แต่ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเขา เพราะว่าแรงระเบิดรุนแรงมากถึงกับถอนรากถอนโค่นต้นไม้ออกมาจนบริเวณนั้นราบเรียบ แต่ไม่พบหลุมระเบิดตามที่มันควรจะมี ไปถามพยานเห็นเหตุการณ์ก็ให้การไปต่างๆ นานา แน่นอนว่าไม่สามารถสรุปรูปร่างของวัตถุที่ตกลงมาได้
ปี 1947 อีก 20 ปีต่อมา จานผีเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น นักค้นคว้าจานบินลงไปตรวจสอบและบอกว่า มันอาจจะเป็นอาวุธของมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากเจอลูกกลมๆ เปลือกมันวาวสุกใสนับพันในบริเวณนั้น คล้ายกับที่พบในเขตทดสอบนิวเคลียร์ และในปีที่เกิดเหตุมีคนพบมนุษย์ต่างดาวแต่จับตัวไว้ไม่ได้
ปี 1986 วันที่ 17 พฤศจิกายน เคนจิอุ เทราอูชิ นักบินสายการบินญี่ปุ่น เจ.เอ.แอล ขณะขับเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 747 จากโตเกียวไปยีงอลาสกา ที่ความสูง 37,000 ฟุต เขาเห็นจานผี 2 ครั้ง ครั้งแรกเห็นนานถึงยี่สิบนาที ครั้งที่สองเห็นเพียง 10 นาที ลักษณะเป็นดวงไฟรวมกันเป็นกลุ่มๆ เคลื่อนที่ไปมา แต่ขากลับจากอลาสกาเขากลับเจอมันบินอยู่ข้างหน้า ตอนแรกคิดว่าเป็นยานหรือเครื่องบินของทหาร จึงสอบถามทางศูนย์ควบคุมการจราจรการบินที่อยู่ใกล้ว่าเขายังบินตามเส้นทางที่กำหนดไว้หรือไม่ ทางศูนย์ ฯ ก็ตอบมาว่ายังบินตามเส้นทางเดิมปกติ ในขณะเดียวกันจอเดราห์ของศูนย์ควบคุมจราจรการบินและศูนย์ควบคุมเขตอากาศยานทหารในเขตนั้นก็พบแสงประหลาดเหมือนกัน
ปี 1981 วันที่ 17 เมษายน เรือเดินทะเลโตเกียว มารุ ก็เจอเข้ากับยานบินประหลาดที่โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล มันมีลักษณะยาวๆ คล้ายไส้กรอก มีแสงสว่างไสวทั้งๆ ที่เป็นตอนกลางวัน สภาพอากาศตอนนั้นก็เงียบสงัด จานผีใต้ทะเลได้บินวัดเฉวียนเป็นวงกลมรอบเรือ และก็เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนๆ กับเหตุการณ์อื่นๆ คือ อุปกรณ์การสื่อสารใช้การไม่ได้ และในที่สุดมันก็จมใต้ทะเลหายไป
วัตถุที่คล้ายกับเครื่องบิน |
ถ้าสังเกตให้ดีๆ แล้วจะพบว่าทุกครั้งที่เข้าใกล้จานบินประหลาดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดจะใช้การไม่ได้ พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรผมมักจะนึกถึงการ์ตูนเรื่อง GUNDUM OO ที่กันดัมของฝ่ายองกรณ์ติดอาวุธเอกชน ซีเรทซ์เชียวส์บีอิง ลงมาปฏิบัติการที่ไรมักจะปล่อยคลื่นอนุภาค GN เพื่อตัดการสื่อสารของฝ่ายตรงข้าม เพื่อไม่ให้แจ้งศูนย์ควบคุมได้ จานบินก็อาจจะทำด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่เพื่ออะไรล่ะ ? ปกปิดการมีตัวตนของตัวเองนั้นหรือ !! ผมว่ามันก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่แน่ใจลองมาอ่านเหตุการณ์นี้ดู
ปี 1939 เครื่องบินลำเลียงในกิจการทางการทหาร บินขึ้นจากฐานบินทางทะเลของกองทัพเรือในซานดิเอโก เวลา 15.30 น. 3 ชั่วโมงต่อมา สัญญาณแจ้งภับพิบัติก็เกิดขึ้นในขณะที่การสื่อสารขาดหายไป และเครื่องบินพยายามร่อนลงอย่างฉุกเฉิน เมื่อเจ้าหน้าที่รีบเข้าไปดูก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เพราะว่าในเครื่องบินลำนั้นมีคนเสียชีวิต 12 คน เหลือแต่นักบินมือสองที่อาการสาหัสแต่อีกไม่กี่นาทีต่อมาเข้าก็ตายตามกันไป สภาพศพทุกคนมีบาดแผลเหวอะหวะและเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว และมีเปลือกหอยกระจายอยู่เต็มห้องนักบิน และสภาพศพทุกคนกำลังเอื้อมไปหยิบปืน .45 โคลท์ ความเป็นไปได้มากที่เกิดการสู้รบกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีเทคโนโลยีสูงมากๆ เนื่องจากสภาพด้านนอกเครื่องบินยับเหมือนโดนถล่มด้วยขีปนาวุธ
เป็นไปได้ไหม ! ที่เครื่องบินดังกล่าวไปรบกับจานบิน โดยจานบินตัดการสื่อสาร และฆ่าทุกคนด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง