16 ก.ย. 2554

การปรากฏตัวของจานผี ตอน 2

หรือคนโนราณเคยเจอกับจานบินมาแล้ว 


        ถ้าใครได้อ่านตอนแรกคงจะคิดกันว่ามันจบครึ่งๆ กลางๆ  เขียนไม่ทันไรก็จบซะแล้ว  ครับพอดีเห็นว่ามันเยอะแล้วเลยตัดตอนออกเป็น 2 ตอน   ไม่มีอะไรจะพูดและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  อ่านต่อเลยดีกว่า

         วันที่ 21 ตุลาคม  ปี 1978  เฟร็ดดริก  วาเลนติช   ขับเครื่องบินส่วนตัว   เชสนา 182 จากเมลเบิร์น   ไปยังเกาะคิงโดยข้ามช่องแคบแบซซ์  เวลา 7.06 น.   เขาสังเกตเห็นดวงไฟสี่ดวงลอยเหนือเครื่องบินเขา  จึงแจ้งวิทยุไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรการบินที่เมลเบิร์น   เพื่อถามว่ามันคืออะไร   หลังจากนั้นก็มีการถามกลับไปกลับมากันอยู่หลายประโยค  แต่พอจะสรุปใจความได้ว่า   นาย  เฟร็ดดริก  วาเลนติช   เจอกับยานบินลึกลับที่มีแสงว่างในตัวเองบินรอบเครื่องบินด้วยความเร็วสูง   สังเกตจากที่เขาไม่สามารถบอกรูปร่างของยานประหลาดนั้นได้  ทางศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศก็บอกว่าไม่เครื่องบินชนิดใดในบริเวณนั้น  และดูเหมือนว่าทางศูนย์ ฯ ไม่เชื่อว่ายานนั้นจะแว่บหายไปตามคำพูดของนักบิน   จากนั้นสัญญาณการติดต่อก็ขาดหายไปพร้อมกับนายเฟร็ดดริก  วาเลนติช   ไม่มีใครเจอเขาหรือซากเครื่องบินเชสนา 182   อีกเลย !!! 


ภาพอะไรไม่รู้ลงมาให้ดูเล่นๆ

         เรื่องนี้จานบินไม่ได้โผล่ที่เครื่องบินอย่างทุกครั้งแต่มันชัดกว่านั้น   เพราะว่ามันไปโผล่ที่บนท้องฟ้าของกรุงเตหะราน  ประเทศอิหร่านในปี 1976  วันที่ 19 กันยายน   ตอนเที่ยงคืนเล็กน้อย   มีคนโทรศัพท์ไปที่ฐานบินแอร์ฟอร์ซชาห์โรกี  ว่ามีจานบินส่องแสงสว่างบนท้องฟ้า   เมื่อเรื่องทราบถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือ   จึงส่งเครื่องไอพ่น F 4 แพนทอมขึ้นไป   แต่บินไปได้ 25 ไมล์จากยานประหลาดนั้นเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดหยุดทำงานเสียเฉยๆ  เป็นผลทำให้ต้องบินกลับฐาน   แต่ยังไม่ทันถึงฐานบินเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ   เครื่องบินลำที่ 2 จึงออกติดตามต่อ   แต่จานบินก็บินหนีออกห่างไป
         ครั้นเครื่องบินไอพ่นลำที่ 2 พยายามบินตามติด   จานบินนั้นก็ปล่อยลูกไฟดวงเล็กๆ พุ่งเข้ามา   และเหมือนหนังฉายซ้ำเครื่องมือสื่อสารก็หยุดทำงาน  แล้วยานบินขนาดเล็กหรือจานลูกนั้นก็กลับไปบินรอบจานบินลำใหญ่   แต่เหมือนกับว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ   เพราะจานผีนั้นปล่อยจานผีเล็กออกมาและบินห่างออกไปลงจอดอย่างนิ่มนวลบนบึงที่แห้งขอด   ส่วนจานผีลำใหญ่ได้ลับหายไปกับกลีบเมฆทางทิศใต้ของกรุงเตหะราน   เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจที่บึงแห้งขอดที่จานผีลำเล็กลงจอด แต่ไม่เจอร่องรอยแต่อย่างใด ?

สภาพป่าที่วัตถุลึกลับตกใส่

         เมื่อโลกโดนถล่มด้วยอาวุธของจานบิน
         ถึงจะใช้คำแรงไปหน่อยแต่มันไม่ต่างกันนักหรอก   เพราะวัตถุลึกลับที่ตกลงมามันแรงพอๆ  กับระเบิดประมาณูขนาดเล็ก!  ในปี 1908   เขตไซบีเลียของรัสเซีย   มีคนพบเห็นวัตถุลึกลับตกลงมาจากฟ้าแล้วเกิดระเบิดขึ้นเป็นแนวราบ   แรงระเบิดครั้งนั้นทำให้ต้นไม้ล้มระเนระนาดกว้างหลายตารางไมลล์   บ้านเรือนพังพินาศ   และเกิดหมอกปกคลุมในลอนดอนและเนเธอร์แลน  ชาวบ้านชาวช่องของลอนดอนพากันโทรศัพท์กันวุ่นวายเพราะคิดว่าเกิดไฟไหม้ในลอนดอน  ด้วยเหตุที่มันอยู่ห่างไกลชุมชนและเหตุผลทางการเมืองทางรัสเซียจึงไม่ให้ความสนใจเท่าไหร่   
         ปี 1927  ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1   ดร. ลีโอนิด เอ.คูลิค  ผู้เชียงชาญอาวุธระเบิด   รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบบริเวณที่โดนระเบิด   ถึงจะผ่ามานานกว่า 20 ปี แต่ร่องรอยที่เหลืออยู่ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเขา   เพราะว่าแรงระเบิดรุนแรงมากถึงกับถอนรากถอนโค่นต้นไม้ออกมาจนบริเวณนั้นราบเรียบ   แต่ไม่พบหลุมระเบิดตามที่มันควรจะมี   ไปถามพยานเห็นเหตุการณ์ก็ให้การไปต่างๆ นานา   แน่นอนว่าไม่สามารถสรุปรูปร่างของวัตถุที่ตกลงมาได้ 
         ปี 1947  อีก 20 ปีต่อมา  จานผีเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น   นักค้นคว้าจานบินลงไปตรวจสอบและบอกว่า  มันอาจจะเป็นอาวุธของมนุษย์ต่างดาว  เนื่องจากเจอลูกกลมๆ   เปลือกมันวาวสุกใสนับพันในบริเวณนั้น   คล้ายกับที่พบในเขตทดสอบนิวเคลียร์   และในปีที่เกิดเหตุมีคนพบมนุษย์ต่างดาวแต่จับตัวไว้ไม่ได้

         ปี 1986  วันที่ 17 พฤศจิกายน   เคนจิอุ  เทราอูชิ   นักบินสายการบินญี่ปุ่น เจ.เอ.แอล   ขณะขับเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 747 จากโตเกียวไปยีงอลาสกา   ที่ความสูง 37,000 ฟุต  เขาเห็นจานผี 2 ครั้ง  ครั้งแรกเห็นนานถึงยี่สิบนาที   ครั้งที่สองเห็นเพียง 10 นาที  ลักษณะเป็นดวงไฟรวมกันเป็นกลุ่มๆ เคลื่อนที่ไปมา   แต่ขากลับจากอลาสกาเขากลับเจอมันบินอยู่ข้างหน้า   ตอนแรกคิดว่าเป็นยานหรือเครื่องบินของทหาร   จึงสอบถามทางศูนย์ควบคุมการจราจรการบินที่อยู่ใกล้ว่าเขายังบินตามเส้นทางที่กำหนดไว้หรือไม่   ทางศูนย์ ฯ ก็ตอบมาว่ายังบินตามเส้นทางเดิมปกติ   ในขณะเดียวกันจอเดราห์ของศูนย์ควบคุมจราจรการบินและศูนย์ควบคุมเขตอากาศยานทหารในเขตนั้นก็พบแสงประหลาดเหมือนกัน

         ปี 1981  วันที่ 17 เมษายน  เรือเดินทะเลโตเกียว  มารุ   ก็เจอเข้ากับยานบินประหลาดที่โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล   มันมีลักษณะยาวๆ คล้ายไส้กรอก  มีแสงสว่างไสวทั้งๆ ที่เป็นตอนกลางวัน  สภาพอากาศตอนนั้นก็เงียบสงัด  จานผีใต้ทะเลได้บินวัดเฉวียนเป็นวงกลมรอบเรือ  และก็เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนๆ กับเหตุการณ์อื่นๆ คือ อุปกรณ์การสื่อสารใช้การไม่ได้  และในที่สุดมันก็จมใต้ทะเลหายไป


วัตถุที่คล้ายกับเครื่องบิน

         ถ้าสังเกตให้ดีๆ แล้วจะพบว่าทุกครั้งที่เข้าใกล้จานบินประหลาดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดจะใช้การไม่ได้   พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรผมมักจะนึกถึงการ์ตูนเรื่อง  GUNDUM  OO   ที่กันดัมของฝ่ายองกรณ์ติดอาวุธเอกชน  ซีเรทซ์เชียวส์บีอิง   ลงมาปฏิบัติการที่ไรมักจะปล่อยคลื่นอนุภาค  GN   เพื่อตัดการสื่อสารของฝ่ายตรงข้าม   เพื่อไม่ให้แจ้งศูนย์ควบคุมได้   จานบินก็อาจจะทำด้วยเหตุผลเดียวกัน   แต่เพื่ออะไรล่ะ ?   ปกปิดการมีตัวตนของตัวเองนั้นหรือ !!   ผมว่ามันก็มีส่วนอยู่เหมือนกัน   ถ้าไม่แน่ใจลองมาอ่านเหตุการณ์นี้ดู

         ปี  1939   เครื่องบินลำเลียงในกิจการทางการทหาร   บินขึ้นจากฐานบินทางทะเลของกองทัพเรือในซานดิเอโก  เวลา  15.30 น.  3 ชั่วโมงต่อมา  สัญญาณแจ้งภับพิบัติก็เกิดขึ้นในขณะที่การสื่อสารขาดหายไป  และเครื่องบินพยายามร่อนลงอย่างฉุกเฉิน   เมื่อเจ้าหน้าที่รีบเข้าไปดูก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น   เพราะว่าในเครื่องบินลำนั้นมีคนเสียชีวิต  12 คน   เหลือแต่นักบินมือสองที่อาการสาหัสแต่อีกไม่กี่นาทีต่อมาเข้าก็ตายตามกันไป   สภาพศพทุกคนมีบาดแผลเหวอะหวะและเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว   และมีเปลือกหอยกระจายอยู่เต็มห้องนักบิน   และสภาพศพทุกคนกำลังเอื้อมไปหยิบปืน .45 โคลท์   ความเป็นไปได้มากที่เกิดการสู้รบกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีเทคโนโลยีสูงมากๆ   เนื่องจากสภาพด้านนอกเครื่องบินยับเหมือนโดนถล่มด้วยขีปนาวุธ

         เป็นไปได้ไหม ! ที่เครื่องบินดังกล่าวไปรบกับจานบิน   โดยจานบินตัดการสื่อสาร   และฆ่าทุกคนด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง

14 ก.ย. 2554

การปรากฏตัวของจานผี

ส่วนหนึ่งของภาพที่ลือกันว่าเป็นการสู้รบระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว
         จานผี UFO  หรือจานบิน  หลายคนคงคุ้นชื่อนี้กันดี  ว่ากันว่ามันเป็นยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตที่มีอารยะธรรมเหมือนมนุษย์แต่อยู่ที่ดาวดวงอื่น  มีหลายคนยืนยันว่าเคยพบเห็นกับตาตัวเองนอกจากนั้นยังมีรูปถ่ายที่บอกว่ามันคือยูเอฟโอและร่วมถึงภาพถ่ายมนุษย์ต่างดาวออกมาเต็มไปหมดทั้งจริงและไม่จริง   แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นของบทความนี้  เพราะเรายังอยู่ในเรื่องดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมมังกรปีศาจที่เป็นฝาแฝดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

ยานลึกลับที่ตกในกัมพูชาใกล้ๆ บ้านเราเอง!!!!

         ข้อมูลเกี่ยวกับยูเอฟโอทั้งหมดถูกหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ  หน่วยงานเอกชน  สมาคม  รวมถึงกลุ่มคนที่ชื่นชอบพากันจดบันทึกและวิเคราะห์ออกมา  แต่ต่างคนต่างหาเหตุผลในแบบของตนก็เลยทำให้มีทฤษฎีออกมาร้อยแปดพันประการ  ต่างๆ ฝ่ายต่างๆ ยืนยันว่าหลักฐานของตัวเองถูกต้อง  หลักฐานของคนอื่นผิด ! ทำไปทำมามันเลยกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาของนักวิชาการต่างๆ  นอกจากนั้นยังมีพวกคลั่งยูเอฟโอที่ไม่อิงวิชาการแต่ดันไปเชื่อพิธีกรรม  เจ้าเข้าทรง  พลังจิต  ยิ่งทำให้คนที่ชื่นชอบและหลงใหลจานบินที่อ้างอิงวิชาและเหตุผลดูเป็นเป็นพวกบ้าไปกับเขาด้วย

ภาพสเก็ตสิ่งมีชีวิตประหลาดถูกตั้งชื่อว่า  ปีศาจโเวอร์  เพราะพบที่เมืองโดเวอร์

         นั้นก็เพราะเหตุผลของเรื่องพลังจิตที่ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและพิธีกรรมเชิญมนุษย์ต่างดาว  ในยุคนี้มันยังเปราะบางมาก  ถึงแม้จะเป็นจริงตามที่เขากล่าวอ้างแต่ก็ไม่มีเครื่องไม้เครื่องอะไรพิสูจน์มาว่าติดต่อจริงๆ  มนุษย์ต่างดาวก็ไม่ลงมาให้เห็นกันจะจะ !!  ลองคิดดูซิครับว่าถ้าผมบอกคุณว่า  ผมสามารถใช้พลังจิตสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้  แล้วคุณจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าผมพูดจริง  สามารถติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้จริง !! ครับ   มันเปราะบางมากสำหรับเหตุผลแบบนี้  ไม่ว่าใครๆ ก็ออกมาพูดแบบนั้นได้เพราะถึงยังไงก็ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้อยู่แล้ว  นอกเสียจากว่ามนุษย์ต่างดาวตัวนั้นลงมาจากยานในขณะที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกแล้วพูดว่า  เราติดต่อกับคนๆ นั้น เท่านั้นแหละ

         ด้วยส่วนตัวผมเองคิดว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงแต่ไม่เชื่อว่าบรรดาภาพถ่ายต่างๆ นั้นเป็นของจริง  เป็นไปไม่ได้หรอกครับมีจักวาลที่กว้างใหญ่หาที่สิ้นสุดไม่ได้  มีแค่โลกใบเดียวที่มีสิ่งมีชีวิต  แค่กาแล็คซีทางช้างเผือกเท่าที่นักดาราศาสตร์คำนวนจำนวนสุริยะไว้ก็ประมาณพันล้านสุริยะแล้ว  แล้วไม่คิดว่าจะมี 1 ในพันล้านนั้นมีสิ่งมีชีวิตบ้างหรือ 
         กล่าวถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาเยอะพอสมควรแล้ว  ลองมาดูเหตุการณ์ที่พวกเขาเหล่ายืนยันว่าได้พบเจอจานบินของมนุษย์ต่างดาว

ภาพส่วนหนึ่งจากวีดีโอที่ว่ากันว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว


         ย้อนไปในยุคโจมอนซึ่งเป็นญี่ปุ่นในยุคแรกๆ   ราวๆ 3000 พันปีก่อนคริตกาล  ยุคนั้นชาวญี่ปุ่นมีการติดต่อกับชาวโปนีเนเชียน  ชนพื้นเมืองเก่าแก่เผ่าหนึ่ง  ตรงนี้ไม่ต้องสนใจเพราะประเด้ยนอยู่ที่  รูปปั้นดินเหนียวรูปคน  ตอนกลางของยุคได้เปลี่ยนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น  รูปปั้นมนุษย์นั้นมีลักษณะ  หน้าอกใหญ่  ขาโก่ง  แขนสั้นศีรษะใหญ่และสวมหมวกทรงประหลาดคล้ายมนุษย์ต่าวดาวที่มีคนให้รายละเอียดไว้  บางตัวคล้ายใส่หน้ากากสำหรับหายใจ  บางตัวอายุเก่าแก่ถึงสี่หมื่นสามพันปีก่อนคริตกาล 
         เป็นไปได้ไหมว่ารูปปั้นเหล่านั้นเป็นแบบจำลองของมนุษยต่างดาวที่พวกเขาพบเจอ !!

ภาพ   ET. จากภาพยนต์เรื่อง  เพื่อนรักจากต่างดาว

         เอกสารบันทึกเก่าของญี่ปุ่นบันทึกว่า  คืนวันที่ 27 ตุลาคม  ปี 1180   พบยานประหลาดมีแสงในตัวเอง  รูปร่างคล้ายใส้กรอก  บินผ่านท้องฟ้าไป  ปี 1235  มีบันทึกไว้ว่าทหารในค่ายนายพลโยริตซูเมเห็นแสงประหลาด  เคลื่อนที่เป็นวงกลมบนท้องฟ้า  ในยุคนั้นสรุปว่าลมมันพัดดวงดาวเลยแกว่งไกว่

         ปี 1361  มีรายงานการพบเห็นวัตถุลึกลับคล้ายกลองโผล่ขึ้นจากน้ำ  หลายคนบอกว่ามันคล้ายพระจันทร์แต่สว่างกว่าลอยไป  ชาวเมืองเกียวโตมักมีรายงานว่าพบเห็นลูกไฟลอยลำบนท้องฟ้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว  บางครั้งคล้ายกับกงล้อไฟหมุนเป็นทางยาว

         ปี 1944  และ ปี  1945  (เริ่มเข้ามาในยุคปัจจุบันและ)  มีรายงานของนักบินประจำเครื่องบินรบระหว่างเส้นทางบินไปทางญี่ปุ่น  ขณะบินอยู่เหนือเกาะทรัก  เห็นกลุ่นดวงไฟสีส้มและสีแดง  บินตามไปเป็นระยะ  คล้ายๆ กับที่เครื่องบินรบที่บินอยู่เหนือเยอรมันนีที่มีลูกไฟสีส้ม  สีแดงและสีขาวลอยตามไปเป็นระยะเช่นกัน

         จากหนังสือ  “UFO  AND  THE  LIMIT  OF  SCIENCE”  ของ โรแนลด์  ดี.  เขียนไว้ว่า  วันที่  26 ละ 27 มิถุนายน ปี 1959  พยาน 38 คนบนสถานีเบียไนบนฝั่งปาปัวนิวกินี  ยืนยันว่าเห็นจานบินบนท้องฟ้า  ลำแรกใหญ่มาก  ส่วนลำที่สองเล็กรองลงมา  และยังเปลี่ยนสีรูปร่างได้เร็วมาก  จากนั้นไม่นานจานบิน 3 ลำนั้นกลับมาอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้บาทหลวงกิลล์  สตีเวน  จี.  มอย  และอีริก  แลงฟอร์ด  เป็น 3 คนในหมดที่เห็นบอกว้าครั้งนี้เห็นมนึษย์ประหลาดกำลังเดินทำอะไรบางอย่าง  บาทหลวงจึงโบกมือทักทาย  แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ท่านเปิดไฟฉายส่องไป  มนุษย์ประหลาดนั้นรีบกลับเข้าไปในยานและยานก็
ลับห่ายไปในกลีบเมฆ

ภาพสลักหินของ  วิมานะ  ยานพาหนะที่พามนุษย์บินขึ้นท้องฟ้า  จะว่าไปมันก็เหมือนจานบินอยู่เหมือนกัน

         รายต่อมามีคนบันทึกภาพจานบินบริเวณเส้นทางระหว่างเวลลิงตันกับไคคูรา  ในขณะเดียวกันก็ปรากฏบนจอเรดาร์ของกองทัพอากาศนิวซีแลนด์  ทางกองทัพถึงกับส่งเครื่องบินรบสกายฮอว์กบินตาม    ต่อมาในปี 1981  วันที่ 21 ธันวาคม  ลูเรือของเครื่องบินลำเลียงสินค้าของบริษัทเซฟ-แอร์กำจัด  ขณะบินเลีบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของนิวซีแลนด์  ซึ่งมีนาย  จอห์น บี. แรนเดิล  เป็นนักบินประจำเครื่อง  นายนักบินคนนั้นบอกว่าเห็นแสงสีขาวนวลบนท้องฟ้าหลายลำ  และบนจอเรดาห์ของศูนย์ควบคุมจราจรการบินทางอากาศของเวลลิงตันก็ยืนยันว่า  เห็นจานบิน 5 ลำปรากฏบนท้องฟ้าเช่นกัน

         อีก 3 ชั่วโมงต่อมา  เครื่องบินของบริษัทเซฟ แอร์  อีกลำหนึ่งที่บินในเส้นทางเดียวกัน  ขณะบินไปได้ไม่นาน  ศูนย์ควบคุมการจราจรการบินฯ ของเวลลิงตัน  ขอร้องให้บินกลับมาตรวจดูสิ่งแปลกปลอมที่บนปรากฏบนจอเรดาห์  พอเครื่องที่ว่าบินกลับมาดูยังไม่ทันถึง  กัปตันเวิร์น  แอล.เอ. เพาเวลล์และนักบินผู้ช่วยมองเห็นแสงประหลาดเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว  ซึ่งความเร็วที่วัดได้บนจอเรดาห์ประมาณ  20  กม. ต่อ 5 วินาที  หรือประมาณ  10,800  ไมล์ต่อชั่วโมง

8 ก.ย. 2554

ไขปริศนาตำนานเรือปีศาจ !!

เรือฟลาตอิงดัตช์แมน

        


         จริงๆ ทั่วทั้งทะเลมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ครับ  เรือที่จมแต่จากนั้นไม่นานกลับมาแล่นใหม่หรือเรือผีศาจสิง  เรือปีศาจแล้วแต่จะเรียก  คนธรรมดาทั่วไปพอเห็นเรือที่ล่มหรือจมลงไปแล้วแต่เมื่อเห็นเรือลำนั้นกลับมาแล่นอีกก็บอกกันว่ามันเป็นเรือปีศาจ  แต่มีน้อยคนครับที่กล้าขึ้นเรือปีศาจขึ้นไปพิสูจน์กลับตาตัวเอง  นี่ถ้าขึ้นไปแล้วเจอเข้ากับกัปตันของเรือฟลายอิงดัตช์แมนผมก็จินตนาไม่ถูกว่าจะเกิดอะไรขึ้น  จริงๆ แล้วก็มีข้ออธิบายทางวิทยาศาสตร์อยู่หลายประการเหมือนกัน  แต่มีไม่กี่ประการที่ดูฟังขึ้น

         1.กระแสน้ำใต้มหาสมุทร  อย่าคิดว่าน้ำทะเลใต้มหาสมุทรกับบนผิวของมหาสมุทรจะไหลไปทางเดียวตลอดเวลากันนะครับ  บางครั้งมันใหลทวนกันเลยแล้วยิ่งใต้น้ำกระแสน้ำแรงมาก  แรงจนสามารถพัดซากเรือที่กองทับทมกันอยู่ลอยขึ้นมาแล่นบนผิวน้ำได้  และนี่เป็นสาเหตุที่มักจะพบซากเรือหลายลำลอยมาอยู่ในเขตน้ำตื้นอย่าง  เรือของชาวกรีกโบราณ  เรือรบโรมัน  เรือธงของกองเรือสวีเดนปีศตวรรษที่ 17  เรือธงของกษัตริย์เฮนรีที่ 8  และยังมีเรือสินค้าที่หลายลำ  เรือเหล่านี่มักจะพบในบริเวณช่องแคบ  และเขตน้ำตื้นที่สามารถกู้ได้ง่ายทั้ง ที่บางลำจมกลางทะเล
         อีกตัวอย่างที่แสดงถึงพลังของคลื่นใต้น้ำคือ  เรือดัลโกนาร์  ของอังกฤษ  ปี 1913  เรือลำนี้แล่นผ่าสมรภูมิพายุรุนแรงในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้  จนเสากระโดงเรือหักและเรือได้แล่นไปอย่างไร้จุดหมาย  โชคดีที่เรือชื่อว่าลัวร์แล่นผ่านมาช่วยชีวิตลูกเรือได้ทันก่อนที่จะสละเรือให้จมลงในบริเวณนั้น  2 ปีต่อมา  กลับพบเรือลำนั้นใกล้กับเกาะโซไซเอตีซึ่งห่างจากจุดที่จมนั้นถึง 2000 ไมล์  ถ้าตีเป็นกิโลฯก็ประมาณ  3200  กิโลเมตร  แล้วยังมีเรือที่ต้องลำบากให้กองทัพเรือคอยจมอีกหลายร้อยลำทาฐานที่ชอบขึ้นมาแล่นบนผิวน้ำในสภาพที่เก่าคร่ำคร่าให้ชาวเรือผวาเล่นๆ  บางลำพบมีคนถูกขังอยู่ใต้ท้องเรือด้วยโชคดีที่ตรวจสภาพก่อนที่จะจมเรือเพนจรเหล่านั้น  แต่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นไปถูกขังในเรือที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลเป็น 10 ปีได้อย่างไร (อืม . . ได้เรื่องใหม่ไว้เขียนบล็อกแล้ว) 
         นี่แสดงให้เห็นถึงพลังของกระแสน้ำแต่มันยังเป็นแค่เศษเสี้ยวของทะเลเท่านั้นเอง

         2.การหายไปของสิ่งของที่เรือบรรทุกมา  นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือกลับมาแล่นอีกครั้ง  อย่างเรือบรรทุกน้ำตาลเมื่อล่มลงไปแล้วอีกไม่กี่เดือนต่อมากลับพบว่ามันแล่นอยู่กลางทะเลอย่างโดดเดียว  นั้นก็เพราะว่าน้ำตาลที่บรรทุกมาได้ละลายน้ำไปหมด  ทำให้เรือที่หนักเพิ่มขึ้นจากน้ำตาลเบาลงจนลอยขึ้นมาแล่นบนผิวน้ำได้  เป็นไปได้ว่าอาจมีเรืออีกหลายลำที่ลอยขึ้นมาเพราะสิ่งของอย่างแร่เหล็ก  น้ำมัน  เชื้อเพลิง  ลอยตามน้ำไปหมดบวกกับกระแสน้ำใต้มหาสมุทรทำให้เรือลอยขึ้นมากลายเป็นเรือปีศาจ  ไม่แน่ว่าเรือฟลายอิงดัตช์แมนที่มีการพบเห็นอยู่ทั่วโลกอาจจะเป็นแค่เรือโบราณที่ลอยเพราะสาเหตุดังกล่าวลอยขึ้นมาก็เป็นไปได้ 

5 ก.ย. 2554

ตำนานเรือปีศาจในดินแดนสามเหลี่ยมมังกรปีศาจและเบอร์บิวดา



      
        นอกจากเรือและเครื่องบินหายไปอย่างลึกลับแล้วในดินแดนสามเหลี่ยมมังกรปีศาจ  สามเหลี่ยมเบอร์บิวดาและบริเวณใกล้เคียงยังมีการพบเรือที่หลายคนต่างลงความเห็นกันว่าเป็นเรือปีศาจที่ผลุบๆ โผล่ๆ  หรือไม่ก็มีเหตุการณ์ประหลาดบนเรือลำนั้นด้วย  ลองมาดูประวัติการพบเห็นของเรือปีศาจกันก่อนดีกว่า

         ปี 1989 เรือล่าปลาวาฬลำใหญพบเรือใบประหลาดแล่นอย่างไร้จุดหมาย  ลูกเรือสังเกตเห็นว่ามีคนถือพวงมาลัยอยู่  กัปตันโมริโอ  ซาคากามิ  พร้อมลูกเรือปีนขึ้นไปดูปรากฏว่าเป็นซากศพเน่าเปื่อย  ถูกมัดหลวมๆ กับพวงมาลัยเรือ  มีรอยแผลถูกแทงหลายแห่งและมีมีดเสียบตรงซี่โครง  ด้ามมีดสลักคำว่า  บุลลี  เบติส  แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร  ข่าวเลยเงียบหายไป

         วันที่ 1 มิถุนายน ปี 1881  เรือรบหลวงอังกฤษสังเกตเห็นเรือลำหนึ่งแล่นอย่างไร้จุดหมาย  บนเสากระโดงเรือนั้นมีแสงสว่างจ้านวลมาก  ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติ  และไม่มีใครอยู่บนเรือเลย  แทบจะหน้าตกใจว่าคนแจ้งคือเจ้าชายแห่งราชค์วงอังกฤษ  ต่อมาได้กลายเป็น  พระเจ้ายอร์จที่ 5 แห่งอังกฤษนั้นเอง

         เรือเมลาเนเซียน  เป็นเรือโดยสารระวางขับน้ำ 130 ตันแล่นไปรับผู้โดยสารระหว่างในหมู่เกาะซีเกียนา  แล้วก็หายไปตามระเบียบ  มีข่าวแจ้งมาว่าพบเรือดังกว่าในเขตน่านน้ำเกาะไซคีเสน  แต่พอไปตรวจก็ไม่เจอตามระเบียบเช่นกัน

         เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกันเรือคลีฟแลนด์
         ปี 1967  ศูนย์วิทยุภาคทะเลแห่งโตเกียว  ได้รับสัญญาณจาเรือคลีฟแลนด์ว่าเกิดเหตุไฟไหม้เรือ  ซึ่งลูกเรือกำลังช่วยกันดับอยู่  ต่อมาได้แจ้งไปอีกว่าเรือได้จมลงทะเล  ลูกเรือต่างพากันหนีเอาชีวิตรอด  มีการระดมพลค้นหาเรือลำนี้แต่ไม่เจอร่องรอย  เมื่อไม่เจอทางหน่วยรักษาความปลอดภัยภาคพื้นทะเลได้แจ้งกลับไปทาง  บริษัทคลีฟแลนด์  ทรานสปอตร์ตคอมพานี  เจ้าของเรือ  แต่น่าแปลกที่เขาได้ตอบปฏิเสธและบอกว่า  ขณะนั้นเรือคลีฟแลนด์จอดอยู่ท่าเรือบอมเบย์  แต่พอลองตรวจสอบกับท่าเรือบอมเบย์ก็ไม่มีเรือคลีฟ  แลนด์จอดอยู่แต่อย่างได้
         ทำไมเรือคลีฟ  แลนด์ถึงแจ้งว่าอยู่ที่ท่าเรือบอมเบย์ซึ่งเป็นจุดแรกที่เรือออกแล่นได้  ทั้งๆ ที่ตัวเรือล่มขณะอยู่ในน่านน้ำทางตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น  ถ้าสมมุติว่าเรือคลีฟแลนด์จอดอยู่ท่าเรือบอมเบย์แล้วแล่นออกมาล่มในน่านน้ำญี่ปุ่นแสดงว่าเรือต้องแล่นเร็วอย่างน้อย 120 นอต หรือ 140 ไมล์ต่อชั่วโมงถ้าที่จริงแล่นได้เพียง 1 ต่อ 6 เท่านั้น
        
         เรือปีศาจโจยิตา
         เรือโจยิตา  เป็นเรือยอชต์หรูสร้างในปี 1931 เจ้าของเดิมคือผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์ฮอลลี่วู้ด  ที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง  แต่อีตาเทลมา  ทอดด์ ดารามีชื่อคนเสียชีวิตอย่างลึกลับบนเรือดังกล่าว  การถ่ายทำจริงหยุดซะงักไป 
         หลังจากนั้นเรือลำนี้ถูกดัดแปลงไปไปเป็นเรือนานๆ ชนิดทั้งเรือลาดตะเวน  เรือประมง  จนมาถึงตาของ  โทมัส  เฮนรี  มิลเลอร์  เช่าไปทำธุรกิจประมงในปี 1953 แต่ไม่ราบรื่นนักเพราะประสบปัญหาทางการเงิน  เหมือนสวรรค์ทรงโปรดเมื่อนาย  อาร์ดี  เพียร์เลส  ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเกาะโตเกเลา  เขามีแนวคิดที่จะพัฒนาการคมนาคมไปยังเกาะของเขา  จึงเช่าโจยิตาเป็นรายปี  แต่ก็เปลี่ยนไปเช่าเรือจากบริษัทอื่นแทน  ที่นี้แหละนายมิลเลอร์เกิดทุกข์อย่างหนักเพราะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้กับลูกจ้างได้  แม้แต่เงินที่จะซื้อข้าวกินเองยังไม่พอเลย  ไม่นานนายเพียร์เลสก็มาจ้างให้ขนส่งอาหารกับเวชภัณฑ์พร้อมกับตนเองและเจ้าหน้าที่  ตัวแทนจากบริษัทต่างๆ ร่วมไปด้วย
         2 ตุลาคม ปี 1955  เวลา 11.00 น. เรือโจยิตาเตรียมจะแล่น  แต่เกิดไฟไหม้ข้าลำเรือ   เครื่องยนต์หยุดทำงานกะทันหัน  กว่าจะแล่นก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน  โดยสภาพในตอนนั้นมีเครื่องยนต์เพียงเครื่องเดียว  อีกฝากท่าเรือฟาเกาฟู  มีชาวเกาะชาวบ้านมายืนคอยตามนัดแต่ไม่มีเรือโจยิตาแล่นเข้าท่า  จนกระทั่งวันที่ 5 ได้รับแจ้งว่าเรือหายอย่างลึกลับ  วันที่ 6 เหล่าเจ้าหน้าที่ระดมคนออกหารวมพื่นที่กว่า 1 แสนตารางไมลล์  แต่ไร้วี่แวว
         วันที่ 10 ในเดือนเดียวปีเดียวกัน  ได้รับแจ้งจากเรือสินค้าตูวาลาแจ้งว่าพบเรือโจยิตาห่างจากเกาะซามัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้  ลำเรือจมถึงด่านฟ้า  พวงมาลัยหัก  ใบเรือสายระโยงระยางเรือพังยับ  ไม่พบผู้รอดชีวิต  แต่ที่น่าแปลกก็คือเสบียงและเชื้อเพลิงอยู่ในปริมาณที่เท่าๆ กับตอนออกเรือและเรือชูชีพที่มักจะเห็นผูกข้างๆ ลำเรือหายไป  พอลองติดตามหาผู้ที่อาจจะรอดชีวิตตามเกาะต่างๆ ก็ไม่เจอตามเคย 
         เรื่องแปลกเรื่องที่ 2 นั้นก็คือ  เรือเดจี  ที่ได้มีโอกาสติดตามเรือโจยิตาในน่านน้ำดังกล่าวด้วยเรดาร์รัศมี 20 ไมล์  แต่ไม่เจอทั้งๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเรือตูวาลาแจ้ง  เมื่อเจอซากเรือจนแน่ใจว่าเรือล่มแล้วก็มาถึงบนลงโทษตามกฎหมายไปตอนนี้ไม่ต้องไปสนใจเท่าไหร่เพราะมันอยู่ในขอบเข๖ของมนุษย์ที่จะควบคุมได้  ไม่นานก็มีคนมาประมูลเรือโจยิตาไปซ่อมแซม  ยกเครื่องใหม่  แล้วกลับมาแล่มทะเลอีกและก็ประสบกับความลึกลับเหมือยครั้งก่อน  ผู้คนจึงให้ความเห็นกันว่า  เรือโจยิตาคือเรือปีศาจที่คอบกลืนกินมนุษย์

1 ก.ย. 2554

ตำนานเทพมังกร

         ตำนานเทพมังกร
         ในเมื่อหาคำอธิบายไม่ได้ก็ต้องกลับไปพึ่งเทพเจ้าซึ่งเป็นความเชื่อที่อยู่กับมนุษย์มายาวนานที่สุด  ลองมาดูความเชื่อกันบ้าง

         ทั่วทั้งโลกคงไม่มีใครไม่รู้จักมังกรแต่จะรู้จักในด้านดีหรือร้ายเท่านั้น  ชาวตะวันตกจะเห็นมังกรเป็นปีศาจที่เป็นอันตรายต่อชีวิตถึงมีนิทานอัศวินปราบมังกรอยู่ตั้งหลายเรื่อง  ถ้าคุณอ่านนิทานแนวนี้อยู่ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า  อัศวินจะออกมาช่วยต่อเมื่อชาวบ้านชาวเมืองเอาหญิงพรมจรรย์ไปสังเวยต่อมังกรเท่านั้น  ทีเป็นหมูหมากาไก่หรือที่ฮิตกันสุดอย่างแกะไม่เห็นมีใครออกมาช่วยเลย  (กลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า !)  แต่ชาวตะวันออกอย่างเราๆ ท่านๆ จะเห็นมังกรเป็นสัตว์เทพ  เป็นสัญาลักษณ์ของพลังอำนาจ  บุญบารมี  ก็เลยทำให้มังกรตะวันออกมีฐานะดี  เพราะมีคนมาบรรณาการอาหารคาวหวานก็เยอะแยะ  ญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อแบบนี้อยู่เหมือนกัน

         ชาวบ้านชาวช่องตะวันออกเชื่อว่าที่อยู่ของมังกรจะอยู่ในถ้ำใต้ดิน  ใต้แม่น้ำ  ใต้ทะเล  ใต้ภูเขา  ดูเหมือนว่ามันจะชอบอยู่ใต้ทุกอย่างที่ดูมืดมน (ไม่ใช่ใต้โอ่งบ้านเราแน่ๆ) และไม่มีสัตว์หรืออะไรกล้าเข้าไป  บันทึกของชาวจีนเขียนบอกเรื่องเรื่องมังกรไว้หลายแนวเลยแต่พอจะสรุปออกมาไว้ว่า  คนธรรมดาอย่างเราๆ จะไม่มีวันได้เห็นมังกร  แต่เราจะเห็นพลังของมันจากพายุ  คลื่นยักษ์  ฝนตก  ฟ้าผ่า  ล้วนแต่เป็นพลังของมังกร

         มีนิทานปรัมปราของจีนเขียนไว้ว่า  วังของมังกรอยู่ใต้น้ำห่างจากเมืองซูซูแล่นเรือประมาณ 5-6 วันถึง  บริเวณนั้นกระแสน้ำมักปั่นป่วน  มีเสียงคำราม  มีแสงประหลาดพาดยาวใต้น้ำในยามราตรี  ชาวจีนอธิบายว่าเสียงคำรามอาจเป็นเสียงภูเขาไฟระเบิด  ส่วนแสงประหลาดอาจจะเป็นแสงจากจานบินหรือจานผี 

         แต่มนุษย์ก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ถึงจะนับถือมังกรเป็นเทพแต่ก็ยังมีตัวยาที่ต้องใช้กระดูกมังกรและเขี้ยวมังกรเป็นส่วนประกอบสำคัญ  ขนาดเป็นถึงเทพมนุษย์ยังกินได้ลงเลย !?!  ตัวยาที่ว่านั้นจัดว่าเป็นยาวิเศษเลยก็ว่าได้เพราะรักษาได้สารพัดโรคทั้ง  โรคบิด  โรคท้องร่วง  นิ่วในถุงน้ำดี  โปลิโอ  ลำไส้อักเสบ  แผลฝีหนองอักเสบเรื้อรัง  โรคภัยไข่เจ็บในสตรีมีครรภ์  แค่โรยภายในจมูกและหูเลือดก็หยุดไหลแล้ว  แต่หนังสือผมอ้างอิงไม่ได้บอกไว้ว่าเลือดหยุดไหลทุกบาดแผลหรือแค่ที่จมูกและหู

         หนังสือประวัติศาสตร์จีนฉบับหนึ่งกว่าไว้ว่า  เมื่อ 2000 ปีก่อน  ประชาชนจะเซ่นสังเวยเทพโฮโป  เทพแห่งแม่น้ำทั้งปวง  ด้วยการเสนอหญิงพรหมจรรณ์สวยงามทุกปี  (ฟังดูเหมือนกับเทพโปไซดอนยังไงไม่รู้) ให้ไปเป็นชายาของพระองค์  เพื่อพระองค์พอใจจะได้ลดความรุนแรงของภัยพิบัติลง  แต่ก็ไม่มีบันทึกว่าพระองค์ได้รับหรือเปล่า  มุกสาวงามใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาทุกตำนานเลยนะเนี่ย  (งั้นเทพโฮโปก็ได้เปิดซิงค์ทุกปีเลยนะซิ  โอ้วววววว !!!

         ขอหยุดความเชื่อเกี่ยวกับมังกรของชาวจีนแค่ก่อนดีกว่าเพราะว่ามีเยอะมาก  แค่ก็พอสรุปได้ว่ามังกรมีความสำคัญกับชาวจีนทั้งเรื่องประกอบอาชีพ  ความสงบสุข  และการรักษา  ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้ถึงยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักษัตรด้วยหรือเปล่า

         มังกรของชาวญี่ปุ่น
         ผมไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (จริงๆ ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็มาจากหนังสือเล่นนั้นแหละ)  ที่มีบันทึกการพบเจอของมังกรหรือสัตว์ที่รูปร่างคล้ายมังกรในบริเวณน่านน้ำของญี่ปุ่นเวลาแค่ไม่กี่ 10 ปีมานี้เอง  ลองอ่านแล้วเปรียบเทียบกับตำนานดู  ตำนานบางตำนานอาจเป็นจริงบ้างก็ได้

         ปี 1902 เรือกลไฟชิลลากัว  ควบคุมโดยกัปตันดับบลิว.เฟิร์ต  พบเห็นสัตว์ประหลาดมีขนาดใหญ่ยาว 30 ฟุตมีครีบใหญ่สี่ครีบ  หัวคล้ายแมวน้ำขนาดใหญ่  เรือเขาแล่นไปใกล้แล้วมันก็ดำน้ำหายไป 

         ปี 1906  ผู้โดยสารเรือกลไฟจาวาของดัตช์ที่กำลังแล่นฝ่าคลื่นลมมหาสมุทรอินเดีย  เจอกับสัตว์ประหลาดคล้ายงูทะเลยักษ์โผล่ขึ้นจากทะเลประมาณ 6 ฟุต  และปีต่อมาลูกเรือกลไฟซอนเดลก็พวสัตว์ประหลาดแบบเดียวกัน

         ปี 1976 เรือเดินทะเลเนสเตอร์  พบเจอกับสัตว์ทะเลยักษ์ทางตอนใต้ของญี่ปุ่นขณะมุ่งหน้าไปเซียงไฮ้  และปี 1977 เรือเดินทะเลจอร์เจียก็พบอีกเหมือนกัน  ขณะแล่นเรือออกจากย่างกุ้งไป 3-4 วัน

         ปี 1970 เรือส่งสินค้าเพรซิเดนท์  แล่นไปไปชนกับสัตว์ประหลาดจนน้ำแตกกระจาย  ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดใดรู้แต่ว่ามันตัวใหญ่มาก

         ด้ามหาสมุทรแอตแอนติสก็เจอเหมือนกัน    ปี 1947 มีข่าวว่าเรือโดยสารซานตาคราลาชนกับสัตว์ทะเลยักษ์ลำตัวยาว 45 ฟุต  ผู้พบเห็นคือมิสเตอร์  วิลเลี่ยม  ฮัทฟรีย์  เป็นกัปตันเรือ  มิสเตอร์จอห์น  อเซลสันและมิสเตอร์จอห์น  ริกนี่ย์  เป็นลูกเรือ  ให้สัมภาษณ์ว่า  เขาเห็นหัวมันโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเลือดแดงฉาด  คงจะชนเข้ากับกระดูกงูของเรือ
       
         นอกจากนั้นยังเจอกับสัตว์ที่คล้ายกับ  เพลสซิโอเสาร์  สัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์เมื่อ 60 ล้านปีมาแล้วทั้งที่เจอเป็นซากเมื่อปี 1977  ที่ตอนใต้ของดอนแดนมังกรปีศาจแต่ขณะที่เรือกำลังจะพาขึ้นฝั่งมันกลับเน่าเหม็นคละคลุ้งจนทนไม่ได้เลยต้องทิ้งลงทะเลไปแต่ก่อนหน้านั้นก็ถ่ายภาพไว้เมื่อขึ้นฝั่งลองส่งภาพไปตรวจสอบ  เจ้าซากศพนั้นดันมีรูปร่างเหมือนเพลสซิโอเสาร์ซะนี่ !   นอกจากนั้นยังมีกะลาสีเรือหลายคนบรรยายลักษณะของสัตว์ประหลาดที่เจอคล้ายกับเพลสซิโอเสาร์อีกด้วย  ตั้งแต่ปี 1812เป็นต้นมามีรายงานพบสัตว์ลักษณะเดียวกันถึง 53 ครั้งในเส้นทางอลาสกากับโอเรกอน 
         ไม่แน่ว่าเจ้ายักษ์ดึกดำบรรพ์นี่อาจมีเอี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่ชอบผลุบๆ โผล่ๆ แถวๆ  ทะเลสาบบล็อกเนสและล็อกแอลท์  และยังเจอในทะเลส่าบหลายแห่งในไอแลนด์  สวีเดน  นอร์เวย์  ในอเมริกาเจอแถวๆ ทะเลสาบรัฐแคลอร์เนีย  มินนิโซตา  มอนตานา  เนวาตานา  เนวาดา  โอเรกอน  ยูทาห์  วิสคอนซิน  อลาสกา  และทะเลสาบระหว่างนิวยอร์กกับเวอร์มองต์  ในแคนาดาพบที่มานิโตบา  ควีเบ็ก  และออนตาริโอ  และในเขนชานเมืองโตรอนโต  นอกจากนั้นยังเจอแถวๆ รัสเซียและจีนอีกหลายแห่ง
         คงไม่มีใครเล่นตลกแอบเพาะพันธุ์มันขึ้นมาใหม่แล้วเกิดหลุดออกมาเหมือนกันนิยายวิทยาศาสตร์  ก็หมายความว่ามันก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เหลือรอดจากการสูญพันธุ์ในยุคไดโนเสาร์  และอาจจะเป็นมังกรตามตำนานเล่าขาน  ส่วนขาที่เห็นตามรูปวาดก็จะเป็นแค่จินตนาการที่วาดเติมหรือเพี้ยนตามกาลเวลา  ถ้าเป็นจริงตามนี้ทุกอย่างจะลงตัวทันที  แต่เสียได้ที่ผมไม่ใช่เชอร์ล็อกโฮมหรือโคนันจึงไม่อาจสรุปได้อย่างแน่ชัด