4 ก.ย. 2557

การทดลองฟิลาเดลเฟีย ก้าวแรกสู่การล่องหน (invisible)

หยุดเขียนเรื่องลึกลับไปซะนานสาเหตุก็เพราะไม่มีกะจิตกะใจเขียนต่อและไม่มีข้อมูลใหม่ๆ มาให้เขียน จะก็อปของคนอื่นมาลงก็ดูจะยังไงอยู่แถมยังมีแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ คนอื่นเขาเขียนมาหมดและ แต่บังเอิญไปค้นเจอหนังสือมาเล่มหนึ่งที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินที่ไม่เจอในโลกอินเตอร์เน็ตเท่าไรเลยเอามาสรุปลงในบล็อกนี่ซะเลย แต่ถ้าถามว่าไอ้เรื่องราวที่เขียนเอามาลงเนี่ยมันจริงหรือเปล่า?? นายเจซีคนนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน มันอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องเท็จและเรื่องจริง กลุ่มคนที่ชอบกุเรื่องพันนี้ขึ้นมาก็มีอยู่ทั่วโลกซะด้วยซิอย่างในบรรดาคลิป UFO เห็นๆ กันอยู่ก็ปลอมซะ 90 เปอร์เซ็นและ แล้วการตรวจสอบข้อมูลก็ยากมากองค์กรที่พูดกันก็แทบไม่เคยได้ยิน แต่ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็ไม่มีองค์กรไหนยอมพูดกันหรอกเพราะกลัวคนจะแตกตื่นกัน รู้จักการทดลองที่ชื่อว่า "ฟิลาเดลเฟีย" ไหม เป็นการทดลองบิดเบือนแรงโน้มถ่วงเพื่อเข้าสู่มิติที่ 4 โดยการสร้างสนามแม่เหล็กของสหรัฐฯ ในปี 1943 ก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ แน่นอนว่ามันต้องถูกประทับตราลับสุดยอดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่วายถูกนำมาแฉโดยคนเปิดเผยเรื่องราวที่ดูเหมือนเพ้อฝันนี้คือนาย "ดร. เจสซุป" เดิมเป็นนักดาราศาสตร์เชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่ว่าด้วยดวงจันทร์ (SELENOGRAPHY) และเป็นนักเขียนเรื่องราวของจานบินต่างๆ สงสัยจังในบรรดาคนที่ออกมาเปิดเผยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวและจานบินทำไมมักมีตำแหน่งพ่วงท้ายเป็นผู้เชี่ยวชาญขององค์กรเกี่ยวกับอวกาศกัน นายเจสซุปเขียนในหนังสือของเขาว่าการทดลองนี้ยึดเอาทฤษฎีเอกภาพแห่งสนามของไอน์สไตน์เป็นต้นแบบ แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดของการทดลองฟิลาเดลเฟียมาพูดถึงทฤษฎีเอกภาพแห่งสนามกันก่อน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างแรงโน้มถ่วงกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อทั้ง 2 ทำงานร่วมประสานกันอย่างพอดี แรงโน้มถ่วงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรขาคณิตและเกิดมิติที่ 4 ขึ้น!!! เข้าใจไหม??? ถ้าใครเข้าใจมาอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยและกันอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้ว เอาเป็นว่าสรุปง่ายก็คือมันจะเกิดการผิดเพี้ยนของแรงโน้มถ่วงทำให้แรงโน้มถ่วงมีผลกันสสารไม่เหมือนเดิม อย่างเช่นอนุภาคที่เกาะกลุ่มกันอยู่จนกลายเป็นสสารนั่นแยกออกห่างจากกันจนแสงลอดผ่านสสารตัวนั้น (ล่องหนนั่นแหละ) หรือเกิดการหยุดเวลาของสสารตัวนั้นในขณะที่คนภายนอกมองไม่เห็นสสาร กลับมาที่ฟิลาเดลเฟียกันต่อ การทดลองนี้ทำที่ฟิลาเดลเฟียบนเรือพิฆาตกลางมหาสมุทร เครื่องมือชิ้นสำคัญคือเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กซึ่งประกอบด้วยเครื่องสั่นกระแสคลื่นและเครื่องปรับกระแสคลื่นที่สั่นให้เข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อเริ่มต้นการทดลองเกิดแสงสีเขียวนวลคลุมบริเวณในระยะ 100 หลา ลูกเรือเริ่มหายสาปสูญกันไปทีละคนแต่ยังสามารถสัมผัสตัวกันได้ได้ มีคนที่อยู่บนฝั่งนอร์ฟอรล์ก รัฐเวอร์จิเนีย เห็นตัวเรือล่องหนและปรากฎตัวขึ้นมาใหม่เป็นครั้งคราว ผลการทดลองเหมือนที่เราอ่านในนิยายหรือดูในหนังเลย คือคนที่อยู่ในการทดลองล้วนได้รับความผิดปกติกันทุกคนไม่ตายก็เป็นบ้า แถมยังมีบางคนที่รอดจากความตายและเป็นบ้าแต่กลายเป็นเอ็กเม็นเพราะล่องหนและกลับมาปรากฎตัวได้เหมือนกันตอนทดลอง ถ้าการทดลองที่ว่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็ถือว่าเป็นก้าวครั้งสำคัญของมนุษย์โลกที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมิติที่ 3 เหมือนกับตอนที่เรารู้วิธีบินบนท้องฟ้ายังไงยังงั้น แต่เรื่องนี้ก็ยังมีจุดที่ดูจะเป็นไปไม่ได้อยู่หลายจุดทั้งเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้นสามารถสร้างคลื่นที่มีความแรงมากพอหรือเปล่า??? แถมทฤษฎีเอกภาพของสนามยังไม่เป็นที่ยอมรับแม้แต่ตัวไอน์สไตน์เองยังเป็นแค่นักฟิสิกส์สติเพี้ยนคนหนึ่งจนสงครามโลกครั้งที 2 จบไปแล้วถึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะ และที่สำคัญเรื่องนี้ดร.เจสซุปก็ไม่ได้เล่าเองโดยตรงเพราะปี 1959 เขาได้ตายลงในรัฐไมอามี แต่คนที่เล่าเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมศึกษาเรื่องจานบินด้วยกันมาชื่อว่า ดร.แมนสัน วาเลนไทม์ ที่ออกมาเล่าหลังจากอีตาเจสซุปตายไปแล้วสิบกว่าปี และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการทดลองฟิลาเดลเฟียถูกส่งมาจากนายทหารที่ร่วมการทดลองแล้วรอดออกมาได้ชื่อว่า คาร์ลอส แอลเลนเด ที่ติดต่อกันทางจดหมายแถมยังตามตัวไม่ได้ด้วย อืม....ปกติเรื่องแบบนี้ก็มักจะส่งทางจดหมายอยู่แล้วอ่ะนะ ก็ต้องนั่งลุ้นกันไปว่าเรื่องนี้จะจริงหรือหลอกไม่แน่ว่านายเจสซุปอาจกุเรื่องขึ้นมาทั้งหมดเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงในด้านนี้โดยอาศัยทฤษฎีที่พอจะมีความเชื่อถือเป็นแกนเพราะยังไงซะมันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้อยู่แล้ว