6 เม.ย. 2557

เมืองลับแล ปริศนาอาณาจักรลึกลับ

   เขียนเรื่องลึกลับต่างชาติมานานกลับมาเขียนเรื่องลึกลับแบบไทยๆ กันมั่ง  จริงๆ ประเทศไทยเราก็มีเรื่องลึกลับเยอะไม่แพ้ต่างชาติหรอก  แต่ไม่มีใครสนใจฟังเท่านั้นเอง  ต่างชาติเขาโปรโมทเรื่องลึกลับของประเทศตัวเองจนโกยเงินเข้าประเทศตั้งเยอะ แยะแล้ว  ทั้งจากของที่ระลึกเอย  สถานที่ท่องเที่ยวเอย  พอมีคนเข้าไปสินค้าพื้นเมืองก็ขายได้  สร้างงานให้กับคนพื้นถิ่นอีก  และก็มีคนบางจำพวกที่ชอบนำเรื่องลึกลับไปผูกกับเรื่องภูตผีวิญญาณเจ้าเข้า ทรงมั่งล่ะจนกลายเป็นเป็นเรื่องงมงายไป  ทั้งๆ ที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกับภูติผีวิญญาณซักหน่อย  ขยันผูกเรื่องกันจริงๆ  

          

   กลับเข้าเรื่องเลยและกัน  อย่างที่จั่วหัวไว้นั้นแหละตอนนี้จะเป็นเรื่องเมืองลับแล  อาณาจักรที่ว่ากันว่าดำรงอยู่คู่ขนานไปกับโลกของเรา  ทำนองเดียวกับโลกใต้พิภพนั่นแหละครับ  แต่อย่าพึ่งเบื่อเพราะเคยได้ยินเรื่องเมืองลับแลที่จังหวัดอุตรดิตย์มาแล้ว นะ  เรื่องที่คนทั่วไปเขาเขียนไปแล้วนายเจซีไม่สนใจจะเขียนซ้ำหรอก  มันต้องเป็นเรื่องใหม่หรือไม่ก็เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักเท่า นั้น  (อุดมการณ์สูง.....)  ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางซ้ำซากๆ แน่นอน  นอกจากอุตรดิตย์ที่ได้ยินจนคุ้นหูแล้วยังมีเมืองลับแลที่จังหวัดอื่นอีก ครับ  อย่างวัดถ้ำแกลบ  ถ้ำเปี้ยว  วัดเขาบันไดอิฐ  วัดพระพุทธไสยาสน์  วัดถ้ำรงค์  วัดใหญ่สุวรรณาราม  ทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี   โอ้...เยอะแท้แถมยังลึกลับกว่าอุตรดิตย์อีก  ทั้งทางเดินใต้ดินที่เชื่อมวัด 4 วัดและอาจจะเป็นทางเดินเข้าออกของชาวเมืองลับแล  เรื่องเล่าทางลับปริศนาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้าง  และสร้างไว้ทำไม  ตำนานพระนิ้วหินที่หลงเข้าถ้ำที่เพชรบุรีแต่ไปโผล่ที่ราชบุรีระหว่างทางท่าน เจอเมืองลับแลที่มีแต่ผู้หญิงเข้าให้



   ลึกลับใช่เล่นแฮะ!!  เกริ่นนำพอสมควรจากนี้ขอลงในรายระเอียดให้มันชัดเจนไปเลย  เริ่มต้นที่วัดถ้ำแกลบเลยและกันวัดนี้มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดบุญทวี"  ในเขตวัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่า "ถ้ำแกลบ"  ชื่อกระโหลกกระลาแท้ๆ แต่ว่ามันมีที่มาครับ  สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะมักมีคนพบแกลบกองเท่ากระบุงอยู่ในถ้ำบ่อยๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ก็เลยนำไปรวมกับเรื่องทางเข้าออกของเมืองลับแล  กลายเป็นว่าคนเมืองลับแลสีข้าวแล้วเอาแกลบมาทิ้ง  แถบนี้มีตำนานเมืองลับแลอยู่เรื่องหนึ่งออกจะคล้ายๆ กับเรื่องที่อุตรดิตย์   เรื่องมันมีอยู่ว่า.......



   มีชายคนหนึ่งมีอาชีพทำน้ำตาลและรับปาดตาล  ทุกวันจะออกไปปีนต้นตาลตั้งแต่เช้าตรู่  ก็ปาดตาลไปเรื่อยเหมือนปกติของทุกๆ วันนั่นแหละครับ  และแล้ววันหนึ่งเขาเจอผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำทำท่าลับๆ ล่อๆ เอาของบางอย่างซ่อนไว้แล้วเดินจากไปพอเย็นๆ ก็เดินกลับมาเอาของที่ซ่อนไว้แล้วเข้าถ้ำไป  ชายหนุ่มนักปาดตาลเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้งเลยตัดสินลงไปดูให้มัน รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันเป็นอะไร  รุ่งขึ้นอีกวันรอจนพวกนางไปหมดแล้ว  เขาลงไปถึงหน้าถ้ำหายจนทั่วก็ไม่เจออะไรมีแต่แกลบกองอยู่หลายกอง  ก็เลยหยิบติดมือมากองหนึ่งแล้วกลับไปทำงานต่อ  เย็นวันนั้นหญิงกลุ่มนั้นก็กลับมาหยิบของอะไรซักแล้วกลับเข้าถ้ำแต่ว่าครั้ง นี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ นะซิครับ  มีหญิงหนึ่งในนั้นนั้งร้องไห้อยู่หน้าถ้ำ  ลองไปถามดูนางบอกว่าของของนางหายเลยกลับเข้าไปไม่ได้  เขานึกได้ว่าตัวเองหยิบแกลบมากองหนึ่งเลยเอามาคืน  กลายเป็นว่าแกลบกองนั้นคือของสำคัญที่ใช้ผ่านเข้าออกเมืองลับแล  แล้วทั้งคู่ก็รักกันตามแบบฉบับตำนาน  พล็อตต่อจากนี้ก็เหมือนเรื่องที่อุตรดิตย์แหละครับ  ชายปาดตาลเผลอพูดโกหกเหตุผลเดียวกันเป็ะ!!  เลยโดนไล่ออกจากหมู่บ้านและภรรยาให้ขมิ้นใส่ยามยื่นให้แล้วไม่พูดอะไร ระหว่างทางก็โยนทิ้งไปบ้าง  กลับมาถึงบ้านขมิ้นดันกลายเป็นทอง



   พล็อตเดียวกันเมืองลับแลที่อุตรดิตย์เลย  ที่เพิ่มเข้ามาก็คือมีแกลบเป็นบัตรผ่านประตู  อืม....ขนาดกลับถึงบ้านขมิ้นกลายเป็นทองได้  แกลบกลายเป็นบัตรผ่านประตูมันก็ไม่แปลกหรอกนะ  นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่าลือกันว่ามีทางเดินใต้ดินที่เป็นของชาวลับแล เชื่อมวัด 4 วัดเข้าด้วยกันคือ วัดถ้ำแก้วเขาวัง วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดเขาบันไดอิฐ วัดถ้ำแกลบ  วัดอื่นๆ ทางเข้าอยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแหล่งข้อมูลของผมก็เรียบเรียงมามั่วๆ ไว้หาเจอจะเอามาบอก  แต่ที่วัดพระพุทธไสยาสน์หรือเรียกกันติดปากว่า "วัดพระนอน"  ที่มีพระนอนองค์ใหญ่โตมโหฬารนั่นแหละ  เชื่อกันว่าทางเดินลับใต้ดินที่ว่านั้นอยู่ที่ใต้พระนอนนั่นเอง  เรื่องนี้ไม่ได้เล่ากันลอยๆ นะครับมีเรื่องประกอบด้วย  ว่ากันว่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในสงครามเก้าทัพพม่าล้อมเมืองนี่ อยู่  แต่ไม่รู้ว่าเหตุอันใดทหารไทยลอบตีข้างหลังพม่าได้ทั้งๆ ที่ถูกล้อมอยู่  ชาวบ้านก็เลยเชื่อว่าทหารไทยลอบออกไปทางลับใต้ดินที่มีเรื่องเล่ามาช้านาน นั่นเอง  


   พอนำไปรวมกับเรื่องเล่าชาวบ้านที่อ้างว่าสำรวจถ้ำบางแห่งในภูเขาแถบนั้นเช่นถ้ำเปี้ยว  ถ้ำเขาหลวง  แล้วเจอทางเดินที่ไม่น่าจะเป็นทางธรรมชาติสร้างเพราะมันราบเรียบแถมเจอข้าวของเก่าๆ ทิ้งไว้เกลื่อนกลาด  บางถ้ำมีทางเดินในถ้ำก็ทอดยาวไปไกลน่าจะเรียกว่าอุโมงค์มากกว่า  เมื่อเดินถึงสุดทางกลับเจอแผ่นปูนซีเมนต์ปิดอยู่  เรื่องที่มีข้าวของทิ้งเกลื่อนพอจะอธิบายได้ว่าเป็นที่หลบภัยเวลาเกิดสงคราม  ที่เรื่องผนังปูนซีเมนต์นี่ซิมันมายังไง??  แล้วบังเอิญที่ถ้ำเขาหลวงก็มีผนังปูนปิดอยู่เขาติ๊ต่างว่านี่คือเขตแบ่งเมืองลับแลกับเมืองเพชรบุรี  เรื่องนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้เพราะไม่เคยไปเหมือนใครไปมาแล้วแวะมาบอกหน่อยและกันว่าจริงไหม  ไม่งั้นนายเจซีคนนี้ก็โดนแหกตาแน่ๆ!!  แล้วก็บังเอิญเหมือนจงใจที่วัดถ้ำรงค์เล่ากันว่ามีทางเข้าอยู่หลังวัดแต่ปัจจุบันทางเข้านั้นถูกปิดไปตามระเบียบ

   เห้อ!!!!  ตัดตอนไปหลายส่วนทีเดียวพระนิ้วเพชรก็ยังไม่ได้พูดถึง  หลวงพ่อดำที่วัดถ้ำรงค์ชอบออกมาเดิน  พระออกมาเดินก็ไม่แปลกหรอกนะแต่หลวงพ่อดำที่ว่านี่เป็นพระพุทธรูปน่ะซิครับ  แค่นี่ก็รีบเขียนจะแย่แล้วเอาไว้วันหลังจากหมดมุกเขียนจะเอาเรื่องเล่าชาวบ้านมาลงให้อ่านและกัน

 

1 ความคิดเห็น :