27 พ.ย. 2554

กะโหลกพระเจ้า

         จั่วหัวซะตื่นเต้นเลย !!   แต่ก็ไม่ผิดเท่าไรนักหรอกครับ   เพราะว่าปี  1999  ลล์อย  พาย   ผู้ที่จบการศึกษาด้านจิตวิทยาแต่หันมาศึกษาหาต้นตอของพันธุกรรมมนุษย์   ชายคนนี้ได้รับกระโหลกปริศนาจากสามีภรรยาคู่หนึ่งเพื่อให้ไขความลับของกะโหลกนั้น

ซ้ายกะโหลกมนุษย์โลก - ขวากะโหลกปริศนา

         แล้วกระโหลกนั่นมันแปลกตรงไหน ?  มันแปลกมากจนอาจจะไม่ใช่กะโหลกมนุษย์โลก   สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ  ขนาด   กะโหลกปริศนานั้นทีขนาดใหญ่กว่ากะโหลกมนุษย์โลก   ปกติกะโหลกมนุษย์โลกโตเต็มวัยจะมีความจุประมาณ  1,400  ลบ.ซม.   แต่กะโหลกนั้นมีความจุถึง  1,600  ลบ.ซม.   ทั้งๆ ที่ตรวจสอบอายุได้   5 - 6  ปี  เท่านั้น   หากเจ้าของกะโหลกโตเต็มวัยอาจมีความจุถึง  1,800  ลบ.ซม.   เบ้าตา !  นี่ก็แปลก   มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ เบ้าตามีความลึกถึง  5  ซม.  แต่เบ้าตากะโหลกปริศนามีความลึกเพียง  3  ซม.  และเป็นรูปหยดน้ำ   สุดท้ายที่แปลกก็คือ  ฟัน  ที่มีทั้งหมดถึง  3  ชุด   แต่พวกเรามีแค่  2  ชุด  คือฟันน้ำนมและฟันแท้

ซ้ายกะโหลกมนุษย์โลก - ขวากะโหลกต่างดาว

         คราวนี่นาย  ลล์อย  พาย  แน่ใจเป็นหนักหนาว่าเจอของจริงเข้าให้แล้ว   หลังจากที่เจอแต่พวกที่มาเล่าเรื่องราวพิลึกพิลั่นต่างๆ นานาแต่หาหลักฐานไม่ได้   เจ้ากะโหลกนั่นเขาได้มาจากสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ได้รับมาจากเพื่อนบ้านสาวก่อนที่เธอจะตาย   สามีภรรยาเล่าว่าสาวเพื่อนบ้านคนนั้นได้มาตั้งวัยเด็กเมื่อ  50  กว่าปีก่อนตอนกำลังรุ่นๆ ขณะไปเยี่ยมญาติที่อยู่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากเมืองชิวาวา  (ไม่เกี่ยวกับหมาชิวาว่านะ)  ซึ่งเต็มไปด้วยอุโมงค์และถ้ำจากการขุดเหมือง   แต่ด้วยนิสัยวัยรุ่นเธอแอบไปเล่นในเขตอันตรายเสมอถึงแม้พ่อแม่จากห้ามก็ตามที   จุดเริ่มต้นกะโหลกประหลาดอยู่ตรงนี้แหละ!!   เธอลงไปอุโมงค์แห่งหนึ่ง   เธอเจอกับโครงกระดูก  2  ร่าง   โครงกระดูกร่างที่เล็กกว่าโอบแขนโครงกระดูกที่ใหญ่กว่า  

ภาพเอ็กซเรย์กะโหลกปริศนา

         ไม่รอช้าเธอขุดและเก็บโครงกระดูกทั้งหมดกลับบ้านทันที  (ใจกล้าดีแหะ!)  เมื่อกลับถึงบ้านเธอวางตระกร้าที่ใส่โครงกระดูกไว้หน้าบ้าน   ค่ำคืนนั้นบังเกิดฝนตกห่าใหญ่จนน้ำท่วมพัดเอากระดูกทั้งหมดลอยน้ำไปเหลือแค่กะโหลก  2  กะโหลกและฟันอีก  2  ซี่   สาวนน้อยเก็บกระดูกที่เหลือไว้จนช่วงสุดท้ายของชีวิต   และก่อนตายเธอยกให้เพื่อนบ้าน   เพื่อนบ้านที่ว่านั้นก็คือสามีภรรยาที่กล่าวมาตั้งแต่ตันนั้นแหละ   แต่ฝ่ายภรรยาไม่ได้ชื่นชมกะโหลกนั้นซักนิดทั้งดุด่า  รบเร้า  เคล้าคลึง  เอ้ย!!!   ไม่ใช่ๆ   จน  5  ปีสามีกำลังจะนำกะโหลกนั้นไปทิ้งแต่นึกขึ้นมาได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งสนใจเรื่องนี้อยู่เลยนำไปให้ไขกันเล่นๆ ยามว่าง   เพื่อนคนนั้นก็คือนาย  ลล์อย  พาย  นั้นเอง
 
         แล้วมันคือกะโหลกของใครล่ะ !?!  ตามตำนานพื้นบ้านได้เล่าถึงพระเจ้าที่ลงมาอยู่กินกับหญิงสาวชาวโลก   เห็นบอกว่าตามคำบรรยายของคนพื้นถิ่นแล้วพระเจ้าที่ว่านั้นมีลักษณะคล้ายมนุษย์ต่างดาวเกรย์  



         ลงมาอยู่กินฉันสามีภรรยาหรือทดลองแพร่เผ่าพันธุ์ !!  เพราะว่าหญิงสาวที่โชคดี  (หรือร้าย??)  เธอคนนั้นเป็นหมันครับ   แต่ไม่นานเธอท้องโย้และคลอดบุตรออกมาและเลี้ยงบุตรประหลาดอย่างลูกเป็นเวลา  6  ปี  แต่อยู่ๆ พระเจ้าก็มาขอเด็กคืน   ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่อยากพรากจากลูกเธอพาลูกหนีในเวลาไม่นานต่อมา   ตามตำนานเล่าว่าเธอเข้าไปหลบอยู่ในถ้ำและลงมือฆ่าลูกตัวเองซะและฝังให้แขนโผล่มาโอบแขนเธอไว้   และเธอก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย

         ตำนานลงตัวกับความให้การของสามีภรรยาคู่นั้นเป๊ะ!!   เจอโครงกระดูกที่โอบแขนกัน   มีกะโหลก  2  กะโหลกเล็กและกะโหลกใหญ่   แน่นอนว่ากะโหลกใหญ่นั้นเป็นของผู้เป็นแม่ลักษณะเหมือนมนุษย์   และกะโหลกประหลาดนั้นคือกะโหลกของลูกของพระเจ้า  

         มีหลายคนสัณนิฐานกันว่าเด็กคนนั้นอาจจะติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์สภาพเลยออกมาพิการอย่างที่เห็น   ผมว่าไม่ได้ใช่ถ้ากลายพันธุ์ยังน่าเชื่อกว่า   ถ้าเป็นเด็กพิการจริงๆ ก็เป็นการพิการที่แปลกมาก   พิการจนมีฟัน  3  ชุด   เบ้าตื้นกลายเป็นรูปหยดน้ำ   ส่วนเรื่องกะโหลกใหญ่ก็อาจจะเป็นไปได้  

         ผสมข้ามสายพันธุ์งั้นรึ!!   ก็ไม่น่าจะใช่เช่นกันเพราะปกติอวัยวะเพศเมียเมื่อได้รับเชื้อต่างพันธุ์จะขับสารยับยั้งและฆ่าเชื้อตัวนั้นประกอบกับตามตำนานบอกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นหมัน   ที่สำคัญการผสมข้ามพันธุ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นการผสมแบบสัตว์ในวงศ์เดียวกันอย่างเช่น  สิงโตกับเสือ   ม้ากับลา   ถ้าเป็นการผสมข้ามพันธุ์จริงแสดงว่ามนุษย์โลกเป็นสัตว์วงศ์เดียวกับพระเจ้าตามตำนานหรือมนุษย์ต่างดาวนั้นเอง

         จึงสรุปได้ว่าหญิงคนนั้นเป็นเพียงแม่อุ้มบุญ       

         ยัง   ยังไม่จบ !!

         จะมาด่วนสรุปว่าเป็นการอุ้มนั้นมันยังเร็วเกินไปเพราะว่าผู้ชายก็อุ้มบุญได้   พระเจ้าตามตำนานอาจจะเล่นกลจนสามารถผสมข้ามสานพันธุ์กับสัตว์ต่างวงศ์ได้แล้วก็เป็นไปได้   เราจะมาเอาเทคโนโลยีเท่าหางอึ่งของเราไปเทียบกับสิ่งมีชีวิตที่เดินทางระหว่างดวงดาวเป็นว่าเล่นไม่ได้   เขาอาจะค้นพบวิธีการหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำหน้ากว่ามนุษย์โลกมากนัก  

         ขอสรุปอีกทีครั้งนี้จะจบจริงๆ แล้ว   ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน   มีหลายตำนานเทพที่เล่าถึงลูกครึ่งเทพ   อาจจะเป็นการผสมข้ามพันธุ์จริงๆ ก็ได้

26 พ.ย. 2554

แฉ ! แผนลับลวงโลกมนุษย์ต่างดาวโซคอร์โร

         เรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นอกจากภาพและวีดีโอที่ออกมาอย่างเกลื่อนกลาด   มันก็ต้องมีทั้งจริงและไม่จริงมั่งและน่า!   ในอดีตยังมีคนที่กุเรื่องมนุษย์ต่างดาวออกมาเป็นว่าเล่น   มันก็ดูไม่มีอะไรมากนอกจากนึกสนุกเลยกุเรื่องขึ้นมาเล่นๆ   แต่หลายเรื่องมันมีจุดน่าสงสัยอยู่หลายแห่งราวกับว่าเป็นการปิดข่าวของทางรัฐบาลสหรัฐฯ   ไม่เชื่อลองมาอ่านเรื่องนี้ดูซิ   มนุษย์ต่างดาวโซคอร์โร



         วันศุกร์ที่  24  เมษายน  ปี  1964  ขณะที่จ่าลอนนี่  ซาโมร่า  ซึ่งเป็นสายตรวจของเมืองโซคอร์โร   เวลา  17.50 น.   จ่าลอนนี่กำลังวิ่งไล่ตามรถที่วิ่งเร็วเกินกฎหมายกำหนด  อยู่ๆ เขาได้ยินเสียงดังราวกับระเบิด   คิดว่าน่าจะเป็นพวกลับลอบระเบิดหินเลยละจากรถคันนั้นไปทำงานที่สำคัญกว่า   แต่พอไปถึงกลับไม่ใช่พวกลักลอบระเบิดเหมืองแร่อย่างที่คิด   ไม่จำเป็นต้องบอกก็พอจะเดาได้แล้ว !! 
      
         ครับ !  สิ่งที่ลอนนี่พบก็คืดยานอวกาศรูปไข่สีเงินวาวขนาดเท่ารถยนต์   ไม่ใช่แค่ยานแต่ยังเห็นมนุษย์ต่างดาว  2  คน  ใส่ชุดคลุมสีขาวตัวเท่าเด็กเห็นจะได้   พอต่างฝ่ายต่างหันมาจ้ะเอ๋กันก็ตกใจจนตัวลอย   สักพักก็มีเสียงดังก฿กก้องจนจ่าลอนนี่กระโดหลบแล้วยานลำนั้นก็ลอยลับเขาหายไป

         วันรุ่งขึ้นรัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบสถานที่ตามที่จ่าลอนนี่แจ้งไป   แล้วเจ้าหน้าที่ที่ว่านั้นไม่ใช่ตัวเล็กตัวน้อยแต่เป้นเจ้าหน้าที่ระดับบิ้กทั้งนั้น   ไม่เชื่อลองดูซิครับ   ร้อยเอกริชาร์ด โฮลเดอร์ (Richard Holder) จากกองทัพบก พันเอกวิลเลี่ยม คอนเนอร์ (William Conner) จากกองทัพอากาศ สิบโทเดวิด มูดดี้ (David Moody) เจ้าหน้าที่โครงการลับของกองทัพอากาศ และอาร์เธอร์ ไบเนส (Arthur Bynes) จาก FBI มาทำการสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

         เห็นไหมไม่ธรรมดาทั้งนั้น   ส่วนผลการตรวจสอบก็เป็นไปตามที่จ่าลอนนี่พูดทุกอย่าง   มีร่องลอยการเผาไหม้   จ่าลอนนี่เป็นคนจิตปกติ   ดูถ้าทุกอย่างมันชึ้ไปในทางเดียวกัน   วันที่  28  เมษายน   รัฐบาส่ง  ดร.อัลเลน ไฮเน็ก (Allen Hynek) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยานบินอวกาศนอกพิภพของโครงการบลูบุ๊ค (Blue Book) มาสืบสวนอีกครั้ง   และนักเคมีจากกระทรวงสาธารณสุขในลาสเวกัสมาตรวจสอบสภาพดิน  พอสารเคมีที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร   พอรัฐบาลรู้ก็ยึดเอกสารทั้งหมดไปทันที
       
         นอกจากนั้นยังมีคนที่ให้การสอดคล้องอีกหลายคน
         พอล ไกส์ (Paul Kies) และลาร์รี่ คราตเซอร์ (Larry Kratzer) จากรัฐไอโอวา เป็นพยานอีก 2 คนที่เห็นเหตุการณ์ พวกเขาให้การว่าเมื่อวันที่ 24 เมษายน ได้เดินทางไปยังเมืองโซคอร์โร ขณะที่ขับรถไปตามถนนราว 6 โมงเย็น พวกเขาเห็นยานอวกาศรูปไข่สีเงิน มีสัญลักษณ์บางอย่างสีแดงข้างลำตัว ลอยขึ้นจากพื้นในแนวดิ่งเหนือกลุ่มควันสีดำ เมื่อยานลอยพ้นกลุ่มควัน มันก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่าเป็นการทดลองเครื่องบินแบบใหม่ที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง

         เนพ โลเปซ (Nep Lopez) เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุตำรวจ ให้การว่าในเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 24 เมษายน มีโทรศัพท์ 3 รายแจ้งเหตุว่าเห็นลูกไฟสีน้ำเงินบนท้องฟ้า ซึ่งคำบอกเล่าของพยานเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับคำให้การของลอนนี่

         อย่างไรก็ตาม การสืบสวนสรุปได้แค่เพียงว่าสิ่งที่ลอนนี่พบเห็นเป็นความจริง แต่ไม่สามารถระบุลงไปได้แน่ชัดว่ามันคืออะไรและมาจากไหน บันทึกการสืบสวนถูกประทับตรา ลับสุดยอดและส่งต่อให้กับ CIA ในปี 1966

        เรื่องราวทั้งหมดถูกผู้สื่อข่าวหลายสำนักนำไปตีพิมพ์ กลายเป็นที่โจษจันไม่ด้อยไปกว่ากรณีจานบินตกในเมืองรอสเวลล์เมื่อปี 1947 แต่ลอนนี่ถูกเพื่อนๆตำรวจล้อเลียนจนทนไม่ไหว ยื่นใบลาออกในปี 1966

         แล้วเรื่องทั้งหมดมันลงเอยยังไงรู้ไหมครับ !!   สรุปสุดท้ายทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องแหกตาที่นักศึกษาชั้นหัวกระทิจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแกล้งจ่าลอนนี่คู่อริเท่านั้นเอง   ซึ่งนักเรียนโรงเรียนนี้มักสร้างเรื่องพิลึกพิลั่นประจำ   เพราะว่าปี  1994   พบจดหมายที่  ดร. ไล  นัส  พอลลิ่ง   ที่มีดีกรีได้รับรางวัลโนเบล  2  ครั้ง  และ 2  สาขาที่ต่างกัน   ที่สนใจและขอข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดในช่วงนั้น   ซึ่งมันห่างกันถึง  30  ปี  

         แต่ประทานโทษเถอะครับทำไมมันมีจุดที่น่าสงสัยเหลือเกินล่ะครับ

         เรื่องสารเคมีที่นักเคมีระบุไม่ได้มันคืออะไร!?!  
         ทำไมถึงต้องประทับตรา  ลับสุดยอด  แล้วส่งให้ CIA  ? 

         รู้หรือเปล่าว่า  CIA   คืออะไร  เป็นหน่วยงานที่มีผลงานอยู่ทั้งหน้าฉากและหลังฉากของสหรัฐฯ ทุกหน่วยงานล้วนแต่มี  CIA  คอยคุมหรือไม่ก็มีหน่วยงานที่  CIA  ตั้งคุมทั้งนั้น   แค่นักเรียนแกล้งกันต้องให้หน่วยงานระดับนี้ลงมาสำรวจตรวจตราเองเลยหรือ?   แล้วที่สำคัญประทับตราลับสุดยอดด้วย!?!  

         ทำไม  ดร. ไล  นัส  พอลลิ่ง   ถึงไม่บอกความจริงไปตั้งแต่วันที่อ่านเอกสาร   เขียนจดหมาย  30  กว่าปีถึงมีคนไปเปิดอ่าน   ถ้าบอกว่าต้องการปิดข่าวนี่ผมจะเชื่อทันทีเลย!   เพราะเวลานั้นนักเรียนที่แกล้งอายุก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า  50  ปีแล้ว   จะไปสอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมอะไรคงจะลืมไปกันหมดแล้ว

         นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่คนของ  บลูบุ๊ค  ลงมาเอง   ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อย   หน่วยงานที่ชื่อว่าบลูบุ๊คเป็นหน่วยย่อยของโครงการ  MJ 12  โครงการนี้มีข่าวเล่าลือออกมาว่าทำหน้าที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว   แต่ทางสหรัฐปฏิเสธมาตลอด  แต่ทำไมถึงมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานนี้ออกมาได้

         แน่นอนว่าไม่มีคำตอบเรื่องนี้!?!

         พอรวมปัญหาที่ยังคลี่คลายไม่ได้ทุกอย่างมันชึ้ไปคนละทางเลย   ลองคิดดูซิว่ามันชึ้ไปทางไหน

6 พ.ย. 2554

ความเป็นอมตะแห่งชีวิต

         ลองจินตนาการดูซิว่าถ้าเรามีอายุยืนยาวไปเรื่อยๆ ไม่มีวันแก่   ไม่มีวันเจ็บป่วย   ไม่มีวันตายมัน   จะดีขนาดไหน   ร่างกายที่ซ่อมแซมตัวเองได้และงอกใหม่ได้เรื่อยๆ ถ้าไปพูดเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นฟังผมรับรองได้ว่าเขาคงจะตอบกลับมาว่า  จะเอาไปเขียนนิยายหรอ!!”

         ในยุคที่เทพเจ้ายังครองความคิดของคนส่วนใหญ่ความอมตะมีเฉพาะเทพเจ้าเท่านั้นและดูเหมือนว่าเทพเจ้าจะไม่อนุญาตให้มนุษย์มีความสามารถนี้   แต่ก็มีหลายตำนานเทพที่บอกเล่าว่ามีมนุษย์บางคนที่เป็นอมตะ   อย่างในมหากาพกิลกาเมช   อุตนาปิชติม บรรพบุรุษของกิลกาเมซก็เป็นมนุษย์อมตะที่ได้รับโอกาสจากพระเจ้าบอกข่าวเรื่องน้ำท่วมโลกให้ต่อเรือแล้วขนสัตว์อย่างละชนิดขึ้นเรือ   หลังจากนั้นเขาก็อยู่กับพระเจ้าอย่างนิรันดร์   หลายคนอาจสงสัยทำไมเรื่องของอุตนาปิชติมมันถึงไปเหมือนกันโนอาในคัมภีร์ไบเบิลนัก!!   ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน?  

         ยังมีตำนานที่เล่าถึงความเป็นอมตะของมนุษย์อีกเยอะแยะครับ   ทั้งที่เป็นอมตะด้วยตัวเองและต้องเสียสละชีวิตผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองเป็นอมตะ   แต่ไม่ว่าจะยังไงพระเจ้าคือผู้ตัดสินว่าใครจะได้รับพลังอันเทียบเคียงพระเจ้า

         นอกจากนั้นคำว่า  ชีวิตอมตะ  ยังกลายเป็นวลีและความสามารถหนึ่งของเหล่าร้ายในการ์ตูนและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง   แต่สุดท้ายก็ตายเพราะตัวเอกของเรื่องอยู่ดี   อีกความสามารถหนึ่งที่มักจะอยู่คู่กับความอมตะนั้นก็คือการซ่อมแซมร่างกาย   เรียกได้ว่าคนไหนเป็นอมตะก็จะต้องซ่อมแซมร่างกายตัวเองได้   ไม่งั้นจะเป็นอมตะไปทำไมล่ะสู้ตายไปเสียดีกว่ากลายเป็นคนพิการ   ส่วนเรื่องการซ่อมแซมร่างกายนี่สัตว์บางชนิดก็ทำได้ครับอย่างจิงจก   จิงเหลน   ซาลาแมนเดอร์   ดาวทะเล   ก็งอกส่วนที่ถูกตัดออกไปได้   แต่น่าแปลกตรงที่ทำไมพอเป็นสัตว์ใหญ่อย่างจระเข้กลับไม่มีข่าวว่ามันงอกหางใหม่หรือว่าไม่มีใครไปตัดหางมันกันแน่?

เซลล์ในร่างกาย

         แต่ก็เพราะตรงนี้แหละมนุษย์เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่ธรรมชาติให้ความสามารถนี้กับสัตว์ชั้นต่ำพันธุ์นั้น   แต่กับมนุษย์กลับไม่ยอมให้   เมื่อธรรมชาติไม่ยินยอมมนุษย์ก็สร้างมันขึ้นมาเอง!   ความสามารถที่เปรียบประดุจพระเจ้า   ความอมตะที่มีเพียงพระเจ้าที่ได้ครอบครอง   และต่อจากนี้ไปมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของพระเจ้าอีกต่อไป  

         กลับเข้าเรื่องก่อนที่จะออกทะเลมากไปกว่านี้!!   อย่างที่ผมพร่ำพรรณนามานั้นแหละ   ปัจจุบันมนุษย์มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่  100  ปีและหวังอยากยิ่งว่าจะมีอายุยืนยาวมากกว่านี้แบบไม่เจ็บไม่ป่วยไม่แก่   ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะอยู่แล้วจะทำอะไรต่อก็เถอะ   ตอนนี้ผมจะบอกอะไรให้ครับ   มนุษย์ก้าวเท้าเข้าสู่ประตูแห่งความลับของความอมตะเรียบร้อยแล้ว!!!

         อะไรนะ!!   งั้นหมายความว่าอีกไม่นานมนุษย์ก็จะมีอายุยืนยาวขึ้นงั้นหรอ

         ไม่ใช่แค่อายุยืนขึ้นแต่ยังเอาชนะโรคทุกโรคได้เลยแหละครับ   ความพิการ   มะเร็ง   เอดส์   และโรคทางพันธุกรรมทุกชนิดจะไม่อาจเข้าย่างกลายในชีวิตมนุษย์อีกเลย   แน่นอนว่าไม่ใช่เวทมนต์คาถาแต่มันเป็นปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์   ผมว่าพวกเราทุกคนคงเคยได้ยินเทคโนโลยีนี้กันมาแล้วเพียงแต่ยังไม่รู้ว่าถึงความสามารถของมันจริงๆ เท่านั้นเอง  

         พักหลังๆ มานี่พวกเรามักได้ยินคำว่า  สเต็มเซลล์  กันบ่อยขึ้นถึงจะยังอยู่ในช่วงทดลองแต่ก็มีการอนุญาตให้รักษาอยู่หลายโรค   แล้วมันคืออะไรล่ะ!!”  มันคือเซลล์ต้นกำเนิดของร่างกายมนุษย์ที่สามารถแตกตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยการปฏิสนธิ   พูดง่ายๆ ว่ามันสามารถแตกตัวไปทำงานแทนเซลล์ต่างๆ ที่เสื่อมสภาพในร่างกายคนเราได้ทั้งเซลล์เม็ดเลือด   เซลล์ประสาท   เซลล์สมอง   เซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วน   นั้นก็เท่ากับว่าเราจะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยแต่ถ้าพิการมันจะแตกตัวไปแทนเซลล์ที่ถูกตัดออกทันทีแบบไม่มีที่สิ้นสุด   ลองจินตนาการดูซิครับว่าถ้าเราแขนขาดแล้วแขนงอกใหม่ได้เหมือนหางจิ้งจกมันจะดีขนาดไหน   ถ้าจะพูดถึงความสามารถของเสต็มเซลล์แล้วก็ต้องไปดูว่าเซลล์แต่ล่ะเซลล์มีลักษณะอย่างไร

การแตกตัวของสเต็มเซลล์

         ปกติเซลล์ในร่างกายเราจะทำงานเฉพาะอย่างเกิดมาทำหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นไปจนตาย   อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่าเซลล์ในร่างกายเราตายทุกวัน   ไม่ต้องห่วงก่อนเซลล์จะตายมันจะแตกตัวให้เซลล์รุ่นลูกทำงานต่อ   จากนั้นเซลล์รุ่นลูกจะรับข้อมูลแล้วทำงานต่อไปปัญหามันอยู่ที่ข้อมูลที่รับมาจะขาดๆ หายๆ ทำให้เซลล์รุ่นลูกไม่เหมือนรุ่นแม่   พอนานไปความผิดปกติจะชัดขึ้นและนี่แหละคือสาเหตุของการแก่!!   การแก่ก็คือการที่เซลล์มันเสื่อมสภาพเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเราก็จะตาย   แต่สเต็มเซลล์มีคุณสมบัติอันอัศจรรย์สามารถแตกตัวใหม่ไม่จบไม่สิ้นและมีค่าเป็นอนันต์   นอกจากจะแตกตัวใหม่เรื่อยๆ แล้วมันยังปรับตัวไปตามสารพันธุกรรมของแต่ล่ะคน   ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพ   ตรงที่นี้แหละที่ผมบอกว่ามันจะทำให้มนุษย์เป็นอมตะ!!  

สเต็มมีอยู่ในหลายส่วนของร่างกายเรา

         โรคมะเร็ง   เกิดจากเซลล์ตัวอ่อนที่เรียกว่าเอ็มบริโอแตกตัวผิดปกติ   การรักษาก็แค่ตัดเซลล์มะเร็งออกแล้วฉีดเสต็มเซลล์ไปแทนที่   จากนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรแค่รอคอยเพราะสเต็มเซลล์มันจะไปแตกลูกหลานและทำงานแทนเนื้อเยื่อที่ถูกตัดไปเอง  

         ถ้าผลการทดลองออกมาเป็นที่น่าพอใจหรือสมหวังอย่างที่เราคิดมนุษย์จะไม่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่  100  ปีอีกต่อไปจะอยู่เป็นหมื่นเป็นแสนปีก็ไม่มีปัญหาหรือจนกว่าเราจะเบื่อการมีชีวิตก็ได้  


         ในอนาคตสเต็มเซลล์ถูกฉีดให้กับทารกในทุกโรงพยาบาลจะเกิดอะไรขึ้น?   ผมว่ามนุษย์ต้องแย่งกันกินแย่งกันอยู่แล้วที่สำคัญเราไม่รู้ว่าเราจะแก่เมื่อไหร่?   เหมือนคนตาบอดที่พายเรืออยู่กลางทะเลไม่รู้ว่าจะถึงฝั่งเมื่อไหร่   ต้องพายไปทางไหน   แล้วทิศนั้นมีฝั่งจริงๆ หรือเปล่า!!   ฝั่ง  ที่ผมเปรียบเปรยในที่นี้ก็คือความ  ตาย  นั้นเอง   ใครที่รวยก็จะอยู่อย่างสบายจนกว่าจะเบื่อและเมื่อเบื่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไงจะตายก็ตายไม่ได้เพราะสเต็มเซลล์มันแตกตัวซ่อมแซมตัวเองไม่ให้แก่   ไม่ให้ตาย   บวกกับการแพทย์ในยุคอนาคตผมว่าแค่ไม่กี่วันก็รักษาได้ต่อให้คุณถูกรถชนแขนไปทาง   ขาไปทาง   หรือตับไตใส้พุงเละเทะก็เหอะ   ส่วนใครที่จนไม่มีจะกินก็ต้องริ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไม่ใช่แค่ร้อยปีอย่างปัจจุบัน (ส่วนใหญ่ไม่ถึงร้อยปีก็ตายแล้ว)   

         แล้วในที่สุดมนุษย์ก็จะโหยหาความตาย   และคิดกันว่าทำไมเราไม่ตายซักที!!!

31 ต.ค. 2554

         มัมมี่กับความเป็นอมตะของชีวิต 
         เดือนนี้ก็ยังอยู่ที่อียิปต์   ปิรามิดแห่งกีซาก็พูดไปแล้วครั้งนี้มาพูดถึงมัมมี่อันโด่งดังกันบ้าง   อียิปต์มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายว่าถ้าเราเป็นชีวิตเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง   จึงการเกิดการทำมัมมี่เพื่อดองศพรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยไป   จากนั้นก็พันด้วยผ่าลินินสีขาวอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ นั้นแหละ

         มัมมี่   มาจากคำว่า   มัมมียะ   คำในภาษาเปอร์เซียหมายถึง   ซากศพที่ดองจนเป็นสีดำ   แต่ทำไมถึงมาจากเปอร์เซียล่ะ?   หรือว่าที่เปอร์เซียมีการดองศพมาก่อน?   อันนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน!   แต่ที่แน่ๆ ก็คือชาวอียิปต์มีศาสตร์ด้านการแพทย์ที่สูงมากดูได้จากการทำมัมมี่ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์   แบคทีเรีย   ความชื้น   และการผ่าตัด   ซึ่งทุกอย่างต้องพอดิบพอดีกันไม่อย่างงั้นการทำมัมมี่จะไม่สำเร็จ   นึกไม่ถึงว่าความเชื่อแบบลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับการคืนชีพจากความตายจะมีอิทธิพลต่อชาวอียิปต์มากขนาดนี้   ถึงกับต้องทดลองทำร่างไม่ให้เน่าทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นว่าจะกษัตริย์องค์ไหนกลับมามีชีวิตหลังจากตายไปแล้วซักหน่อย   หรือว่าเคยเห็น !!

         ประวัติการเกิดมัมมี่เท่าที่ผมรู้มัมมี่ตัวแรกไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพครับ!   เทพองค์นั้นคือเทพโอซิริสซึ่งเป็นเทพที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดแต่หลายคนอาจจะไม่รู้จักสังเกตได้ไม่ยากครับ   เทพโอซิริสจะทำท่าเอาแขนไขว้บนหน้าอกคล้ายๆ กับกำลังกอดอกมือบนฝาโลงศพที่เก็บมัมมี่   มือข้างหนึ่งถือแส้   ข้างหนึ่งถือคฑา   ตามตำนานเล่าว่าเทพโอซิริสเสด็จลงมาสั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ โดยมีเทพธอทเป็นผู้ช่วย   จากนั้นก็ครองบัลลังค์ต่อจากเทพเกบผู้เป็นบิดา   (แต่บางตำราบอกว่าบิดาของโอซิริสคือเทพรา)

นี่แหละเทพโอซิริสล่ะ

         ขอรวบรัดตัดตอนไปถึงตอนทำมัมมี่เลยและกัน   เรื่องมันเกิดตรงที่เทพเซ็ท(น้องชาย)อิจฉาเทพโอซิริส(พี่ชาย)   จึงวางแผนฆ่าพี่ชายตัวเองและสถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์แทน   เทพีไอซิสผู้เป็นน้องสาวและภรรยาในเวลาเดียวกัน   ทำไมพี่น้องถึงแต่งงานกันได้น่ะหรือ!   เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยวัฒนธรรมของอียีปต์เป็นแบบนี้แหละ   พระองค์รีบตามหาโลงศพที่เทพเซ็ทหลอกให้เทพโอซิริสลงไปนอนแล้วก็ปิดฝาโลงลอยแม่น้ำไนล์   ทำไมการฆ่าเทพมันถึงตายง่ายนักน่ะ!   เมื่อเทพีไอซิสเจอศพของโอซิริสแล้วเทพเซ็ทที่อาฆาตแค้นก็ทำการฉีกร่างออกเป็น  14  ส่วนโยนทิ้งไปทั่วอียิปต์   และแน่นอนว่าศรีภรรยาก็ตามหาตามระเบียบและเมื่อหาเจอชิ้นส่วนครบก็ร่วมมือกับเทพอานูบิสลูกติดของเทพโอซิริสทำการดองศพกลายเป็นมัมมี่ตัวแรกของโลก

         ดูๆ ไปแล้วการเป็นเทพมันก็วุ่นวายเหมือนมนุษย์ไม่ผิดเลยนะมีทั้งลูกติด   ฆ่าฟัน   แย่งอำนาจ   และความตาย

โลงศพของมัมมี่

         การทำมัมมี่เพื่อรอวันคืนชีพนั้นอย่างที่บอกไปว่าต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์รวมกันอย่างเรื่องกายวิภาคศาสตร์   วิชานี้เอาไว้สำหรับการนำสมองออกทางจมูกและล้วงอวัยวะภายในออกมา   ถ้าไม่รู้เรื่องกายวิภาคหรือความรู้เรื่องร่างกายไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าโพรงจมูกมันเชื่อมต่อจนถึงสมอง   ถ้าในยุคปัจจุบันเอ็กเรย์ก็รู้แล้ว   แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าชาวอียิปต์รู้ได้ยังไง ?   ส่วนเรื่องแบคทีเรียกับความชื้น   2   เรื่องนี้มีความสำคัญมาก

         ทำไมนะหรอ?   ก็เพราะว่าขั้นตอนแรกของการทำมัมมี่ก็คือการผ่าท้องด้านสีข้างหรือเอวนั้นแหละ   ขอย้ำว่าผ่าตรงเอว!   แล้วล้วงเอาอวัยวะภายในที่มีแบคทีเรียจำนวนมากที่มักจะเน่าก่อนทำมัมมี่เสร็จจำพวก   ปอด   กระเพาะ   ลำไส้   และตับ   ยกเว้นหัวใจ   ไปใส่ในโถเพื่อรอวันฝังไปพร้อมกัน   และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการดองศพโดยการนำเอาความชื้นออกจากศพให้มากที่สุด   คล้ายๆ กับการทำปลาเค็มบ้านเราแหละ!   ที่เอาเกลือทาแล้วตากแดด   เกลือมีคุณสมบัติทางเคมีคือดูดความชื้นแล้วยิ่งตากแดดด้วยความชื้นจะออกไปเร็วมาก   ในที่สุดปลาเค็มก็จะไม่เน่าแต่จะแห้งและเก็บได้นาน

         พูดถึงมัมมี่ดันไปเรื่องปลาเค็มได้ยังไง?

         พอเอาเครื่องในออกมาตามสูตรครบแล้วก็เอาสมองออกเป็นลำดับต่อไป   โดยใช้ตะขอทองแดงสอดเข้าทางจมูกเข้าไปตีเนื้อสมองจนเละ!  แล้วคว่ำหน้าลงให้สมองเละๆ ไหลออกมา   นึกภาพแล้วสยองแทน!!   แต่มีมัมมี่หลายตัวที่ใช้วิธีเจาะกะโหลกแทนสอดทางจมูก   จากนั้นก็เทน้ำมันดินที่ต้มจนเดือดหรือไม่ก็เรซิ่นใส่ลงกะโหลกแทน   ที่นี้ก็ถึงขึ้นตอนสุดท้ายแล้วนั้นก็คือการนำความชื้นออกจากศพโดยการทาสารที่ชื่อว่า   นาตรอน   ประกอบด้วยสาร   เนทิฟ  โซเดียม  คาร์บอเนต   และ   โซเดียม   ไบคาบอเนต   เจ้าสารพวกนี้มีคุณสมบัติดูดความชื้นเหมือนเกลือนั้นแหละ  

         จำไว้ว่าถ้ามีคำว่า   โซเดียม   มันคือส่วนหนึ่งของเกลือ  

         กลับมาทำมัมมี่กันต่อต้องทาสารที่ว่านั้นให้หมดทั้งภายในภายนอกศพและอวัยวะที่ล้วงออกมาด้วย   โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกๆ 3  วันเป็นเวลา  60-70  วันศพก็จะแห้งสนิท   แล้วก็ล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์   ก็แหง่ดิว่ะ! อียิปต์มันมีแม่น้ำซักกี่แห่งกันล่ะ!!   ที่เหลือก็ทาน้ำมันให้ผิวยืดหยุ่น (ไปทำไม?) ตกแต่งตามชอบติดขนตาปลอม   ลูกตาเทียม   วิกผม   ทาเล็บ   อัดพริกไทยเพื่อกันจมูกปี้   ยัดผ้าลินินใส่ปากให้แก้มเต่ง   ก่อนพันผ้าลินินใส่โลงและฝังพร้อมกับสมบัติเพื่อให้ไปใช้ในโลกหน้า

         เอ่อ !!   ลืมไปอวัยวะที่ล้วงออกมาพอมันแห้งสนิทด้วยวิธีเดียวกับศพก็ใส่โถที่ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ  4  องค์บุตรของเทพโฮรัส   ตับบรรจุในโถ  Imsety   เทพเศียรเป็นคน   ปอดบรรจุในโถ  Hapy  เทพเศียรเป็นบาบูน    กระเพาะบรรจุในโถ  Duamutef  เทพเศียรเป็นหมาใน   ลำไส้บรรจุในโถ  Qebehsenuef  เทพมีเศียรเป็นเหยี่ยว   แล้วก็นำไปวาง  4  มุมของสุสานโดยมีรูปสลักเทพอีก  4  องค์คอยปกป้อง   ส่วนของเหลวที่ไหลลงรูที่เจาะตรงปลายเตียงลงโถก็ฝังลงสุสานพร้อมกัน   เป็นอันเสร็จพิธี

         มันเป็นวิทยาการที่สูงมากทั้งการผ่าด้านข้างแล้วหยิบอวัยวะได้อย่างถูกต้องอย่างกับมีกล้องส่อง   ซ้ำยังรู้สาเหตุการเน่าของซากศพว่ามีความชื้นและแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ   แล้วเรื่องความเชื่อตายแล้วฟื้นทั้งๆ ที่ไม่มีกษัตริย์องค์หรือใครฟื้นขึ้นมาจริงๆ เลยซักคนแต่พวกเค้าก็ยังทำสืบเนื่องเป็นพันปี   ไปๆ มาๆ เรื่องนี้เลยถูกนำไปรวมกับแนวคิด   พระเจ้าจากอวกาศ   หรือ   “God  of  space”   ว่าเรื่องพวกนี้มีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าเป็นคนสอน   เพราะว่าอย่างที่บอกไปตอนต้นย่อหน้านี้มันเป็นวิทยาการชั้นสูง   นอกจากนั้นยังมีการพบฟันปลอมถึงจะแค่ตัวหรือสองตัวแต่มันก็ประหลาดเกินไป   ชาวอียิปต์สร้างฟันปลอมได้แล้วหรอ?   แล้วสิ่งที่สำคัญพวกเขาทำอย่างจริงจังไปทำไมถ้าไม่ใช่เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วคืนชีพกลับมาจริงๆ !!

         อย่างพึ่งตกใจ !?! ว่ากองทัพมัมมี่จะคืนชีพกลับมาครองโลกอย่างในเรื่อง  เดอะ  มัมมี่รีเทิร์น   เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องเลย

         ถ้าการคืนชีพของชาวอียิปต์คือการเห็นคนที่หน้าตาเหมือนคนที่ตายไปหลายปีกลับมาเดินมากินมานอนอย่างกับมีชีวิตแต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีที่ติ   แน่นอนว่ายุคนั้นมันเป็นไปไม่ได้   ถ้ายุคนี้ก็ว่าไปอย่าง!  

         เทคโนโลยีราวกับปาฏิหาริย์ที่ว่านั้นก็คือการ  โคลนนิ่ง   เพราะร่างที่โคลนนิ่งออกมาจะเหมือนต้นแบบทุกประการทั้งรูปร่าง  หน้าตา  สัดส่วน   แต่ไม่รู้ว่าสมองและความรู้สึกจะเหมือนกันด้วยหรือเปล่า   แล้วที่สำคัญที่สุดนักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งหนูจากซากที่ตายมาแล้ว  16  ปีได้สำเร็จ   ถ้ามีการอนุญาตให้ทดลองสกัดดีเอ็นเอของมัมมี่   กาลเวลาที่ผ่านมานับพันปียังพอหลงเหลือดีเอ็นเออยู่บ้างการคืนชีพจากความตายของชาวอียิปต์ก็จะไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาที่ลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป  

         การที่ฝังสมบัติไปพร้อมกับมัมมี่ให้ไปใช้ในโลกหน้าของอียิปต์   แสดงให้เห็นว่าการคืนชีพที่ว่านั้นไม่ใช่แค่การทำตามพิธีแต่พวกเขาคิดว่าเจ้าของจะกลับมาใช้สมบัตินั้นจริงๆ ลองดูอย่างชาวจีน   ศาสนาพราหมณ์หรือแม้แต่พุทธเองก็มีถวายของให้คนตายไปใช้ในโลกหน้าคล้ายๆ กัน   แต่พอถวายเสร็จก็ทำพิธีลานำของกลับไปกินถ้าเป็นของใช้ก็ถวายให้วัดไปเลย   เห็นได้ชัดว่าคำว่า   โลกหน้า   ของอียิปต์แตกต่างกับชาติอื่นๆ  

         แต่ถ้าพวกเขาเคยเห็นขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่อไปก็คือใครเป็นคนบอกชาวอียิปต์ถึงเรื่องนี้   พระเจ้าในจินตนาการของพวกเขางั้นหรอ?

         เอ่อเรื่องความเป็นอมตะของชีวิตยกไปบทหน้าก็แล้วกัน