มัมมี่กับความเป็นอมตะของชีวิต
เดือนนี้ก็ยังอยู่ที่อียิปต์ ปิรามิดแห่งกีซาก็พูดไปแล้วครั้งนี้มาพูดถึงมัมมี่อันโด่งดังกันบ้าง อียิปต์มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายว่าถ้าเราเป็นชีวิตเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง จึงการเกิดการทำมัมมี่เพื่อดองศพรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยไป จากนั้นก็พันด้วยผ่าลินินสีขาวอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ นั้นแหละ
“มัมมี่” มาจากคำว่า “มัมมียะ” คำในภาษาเปอร์เซียหมายถึง ซากศพที่ดองจนเป็นสีดำ แต่ทำไมถึงมาจากเปอร์เซียล่ะ? หรือว่าที่เปอร์เซียมีการดองศพมาก่อน? อันนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน! แต่ที่แน่ๆ ก็คือชาวอียิปต์มีศาสตร์ด้านการแพทย์ที่สูงมากดูได้จากการทำมัมมี่ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ แบคทีเรีย ความชื้น และการผ่าตัด ซึ่งทุกอย่างต้องพอดิบพอดีกันไม่อย่างงั้นการทำมัมมี่จะไม่สำเร็จ นึกไม่ถึงว่าความเชื่อแบบลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับการคืนชีพจากความตายจะมีอิทธิพลต่อชาวอียิปต์มากขนาดนี้ ถึงกับต้องทดลองทำร่างไม่ให้เน่าทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นว่าจะกษัตริย์องค์ไหนกลับมามีชีวิตหลังจากตายไปแล้วซักหน่อย หรือว่าเคยเห็น !!
ประวัติการเกิดมัมมี่เท่าที่ผมรู้มัมมี่ตัวแรกไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพครับ! เทพองค์นั้นคือเทพโอซิริสซึ่งเป็นเทพที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดแต่หลายคนอาจจะไม่รู้จักสังเกตได้ไม่ยากครับ เทพโอซิริสจะทำท่าเอาแขนไขว้บนหน้าอกคล้ายๆ กับกำลังกอดอกมือบนฝาโลงศพที่เก็บมัมมี่ มือข้างหนึ่งถือแส้ ข้างหนึ่งถือคฑา ตามตำนานเล่าว่าเทพโอซิริสเสด็จลงมาสั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ โดยมีเทพธอทเป็นผู้ช่วย จากนั้นก็ครองบัลลังค์ต่อจากเทพเกบผู้เป็นบิดา (แต่บางตำราบอกว่าบิดาของโอซิริสคือเทพรา)
นี่แหละเทพโอซิริสล่ะ |
ขอรวบรัดตัดตอนไปถึงตอนทำมัมมี่เลยและกัน เรื่องมันเกิดตรงที่เทพเซ็ท(น้องชาย)อิจฉาเทพโอซิริส(พี่ชาย) จึงวางแผนฆ่าพี่ชายตัวเองและสถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์แทน เทพีไอซิสผู้เป็นน้องสาวและภรรยาในเวลาเดียวกัน ทำไมพี่น้องถึงแต่งงานกันได้น่ะหรือ! เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยวัฒนธรรมของอียีปต์เป็นแบบนี้แหละ พระองค์รีบตามหาโลงศพที่เทพเซ็ทหลอกให้เทพโอซิริสลงไปนอนแล้วก็ปิดฝาโลงลอยแม่น้ำไนล์ ทำไมการฆ่าเทพมันถึงตายง่ายนักน่ะ! เมื่อเทพีไอซิสเจอศพของโอซิริสแล้วเทพเซ็ทที่อาฆาตแค้นก็ทำการฉีกร่างออกเป็น 14 ส่วนโยนทิ้งไปทั่วอียิปต์ และแน่นอนว่าศรีภรรยาก็ตามหาตามระเบียบและเมื่อหาเจอชิ้นส่วนครบก็ร่วมมือกับเทพอานูบิสลูกติดของเทพโอซิริสทำการดองศพกลายเป็นมัมมี่ตัวแรกของโลก
ดูๆ ไปแล้วการเป็นเทพมันก็วุ่นวายเหมือนมนุษย์ไม่ผิดเลยนะมีทั้งลูกติด ฆ่าฟัน แย่งอำนาจ และความตาย
โลงศพของมัมมี่ |
การทำมัมมี่เพื่อรอวันคืนชีพนั้นอย่างที่บอกไปว่าต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์รวมกันอย่างเรื่องกายวิภาคศาสตร์ วิชานี้เอาไว้สำหรับการนำสมองออกทางจมูกและล้วงอวัยวะภายในออกมา ถ้าไม่รู้เรื่องกายวิภาคหรือความรู้เรื่องร่างกายไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าโพรงจมูกมันเชื่อมต่อจนถึงสมอง ถ้าในยุคปัจจุบันเอ็กเรย์ก็รู้แล้ว แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าชาวอียิปต์รู้ได้ยังไง ? ส่วนเรื่องแบคทีเรียกับความชื้น 2 เรื่องนี้มีความสำคัญมาก
ทำไมนะหรอ? ก็เพราะว่าขั้นตอนแรกของการทำมัมมี่ก็คือการผ่าท้องด้านสีข้างหรือเอวนั้นแหละ ขอย้ำว่าผ่าตรงเอว! แล้วล้วงเอาอวัยวะภายในที่มีแบคทีเรียจำนวนมากที่มักจะเน่าก่อนทำมัมมี่เสร็จจำพวก ปอด กระเพาะ ลำไส้ และตับ ยกเว้นหัวใจ ไปใส่ในโถเพื่อรอวันฝังไปพร้อมกัน และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการดองศพโดยการนำเอาความชื้นออกจากศพให้มากที่สุด คล้ายๆ กับการทำปลาเค็มบ้านเราแหละ! ที่เอาเกลือทาแล้วตากแดด เกลือมีคุณสมบัติทางเคมีคือดูดความชื้นแล้วยิ่งตากแดดด้วยความชื้นจะออกไปเร็วมาก ในที่สุดปลาเค็มก็จะไม่เน่าแต่จะแห้งและเก็บได้นาน
พูดถึงมัมมี่ดันไปเรื่องปลาเค็มได้ยังไง?
พอเอาเครื่องในออกมาตามสูตรครบแล้วก็เอาสมองออกเป็นลำดับต่อไป โดยใช้ตะขอทองแดงสอดเข้าทางจมูกเข้าไปตีเนื้อสมองจนเละ! แล้วคว่ำหน้าลงให้สมองเละๆ ไหลออกมา นึกภาพแล้วสยองแทน!! แต่มีมัมมี่หลายตัวที่ใช้วิธีเจาะกะโหลกแทนสอดทางจมูก จากนั้นก็เทน้ำมันดินที่ต้มจนเดือดหรือไม่ก็เรซิ่นใส่ลงกะโหลกแทน ที่นี้ก็ถึงขึ้นตอนสุดท้ายแล้วนั้นก็คือการนำความชื้นออกจากศพโดยการทาสารที่ชื่อว่า “นาตรอน” ประกอบด้วยสาร “เนทิฟ โซเดียม คาร์บอเนต” และ “โซเดียม ไบคาบอเนต” เจ้าสารพวกนี้มีคุณสมบัติดูดความชื้นเหมือนเกลือนั้นแหละ
จำไว้ว่าถ้ามีคำว่า “โซเดียม” มันคือส่วนหนึ่งของเกลือ
กลับมาทำมัมมี่กันต่อต้องทาสารที่ว่านั้นให้หมดทั้งภายในภายนอกศพและอวัยวะที่ล้วงออกมาด้วย โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกๆ 3 วันเป็นเวลา 60-70 วันศพก็จะแห้งสนิท แล้วก็ล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ ก็แหง่ดิว่ะ! อียิปต์มันมีแม่น้ำซักกี่แห่งกันล่ะ!! ที่เหลือก็ทาน้ำมันให้ผิวยืดหยุ่น (ไปทำไม?) ตกแต่งตามชอบติดขนตาปลอม ลูกตาเทียม วิกผม ทาเล็บ อัดพริกไทยเพื่อกันจมูกปี้ ยัดผ้าลินินใส่ปากให้แก้มเต่ง ก่อนพันผ้าลินินใส่โลงและฝังพร้อมกับสมบัติเพื่อให้ไปใช้ในโลกหน้า
เอ่อ !! ลืมไปอวัยวะที่ล้วงออกมาพอมันแห้งสนิทด้วยวิธีเดียวกับศพก็ใส่โถที่ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์บุตรของเทพโฮรัส ตับบรรจุในโถ Imsety เทพเศียรเป็นคน ปอดบรรจุในโถ Hapy เทพเศียรเป็นบาบูน กระเพาะบรรจุในโถ Duamutef เทพเศียรเป็นหมาใน ลำไส้บรรจุในโถ Qebehsenuef เทพมีเศียรเป็นเหยี่ยว แล้วก็นำไปวาง 4 มุมของสุสานโดยมีรูปสลักเทพอีก 4 องค์คอยปกป้อง ส่วนของเหลวที่ไหลลงรูที่เจาะตรงปลายเตียงลงโถก็ฝังลงสุสานพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธี
มันเป็นวิทยาการที่สูงมากทั้งการผ่าด้านข้างแล้วหยิบอวัยวะได้อย่างถูกต้องอย่างกับมีกล้องส่อง ซ้ำยังรู้สาเหตุการเน่าของซากศพว่ามีความชื้นและแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ แล้วเรื่องความเชื่อตายแล้วฟื้นทั้งๆ ที่ไม่มีกษัตริย์องค์หรือใครฟื้นขึ้นมาจริงๆ เลยซักคนแต่พวกเค้าก็ยังทำสืบเนื่องเป็นพันปี ไปๆ มาๆ เรื่องนี้เลยถูกนำไปรวมกับแนวคิด “พระเจ้าจากอวกาศ” หรือ “God of space” ว่าเรื่องพวกนี้มีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าเป็นคนสอน เพราะว่าอย่างที่บอกไปตอนต้นย่อหน้านี้มันเป็นวิทยาการชั้นสูง นอกจากนั้นยังมีการพบฟันปลอมถึงจะแค่ตัวหรือสองตัวแต่มันก็ประหลาดเกินไป ชาวอียิปต์สร้างฟันปลอมได้แล้วหรอ? แล้วสิ่งที่สำคัญพวกเขาทำอย่างจริงจังไปทำไมถ้าไม่ใช่เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วคืนชีพกลับมาจริงๆ !!
อย่างพึ่งตกใจ !?! ว่ากองทัพมัมมี่จะคืนชีพกลับมาครองโลกอย่างในเรื่อง “เดอะ มัมมี่รีเทิร์น” เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องเลย
ถ้าการคืนชีพของชาวอียิปต์คือการเห็นคนที่หน้าตาเหมือนคนที่ตายไปหลายปีกลับมาเดินมากินมานอนอย่างกับมีชีวิตแต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีที่ติ แน่นอนว่ายุคนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ถ้ายุคนี้ก็ว่าไปอย่าง!
เทคโนโลยีราวกับปาฏิหาริย์ที่ว่านั้นก็คือการ “โคลนนิ่ง” เพราะร่างที่โคลนนิ่งออกมาจะเหมือนต้นแบบทุกประการทั้งรูปร่าง หน้าตา สัดส่วน แต่ไม่รู้ว่าสมองและความรู้สึกจะเหมือนกันด้วยหรือเปล่า แล้วที่สำคัญที่สุดนักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งหนูจากซากที่ตายมาแล้ว 16 ปีได้สำเร็จ ถ้ามีการอนุญาตให้ทดลองสกัดดีเอ็นเอของมัมมี่ กาลเวลาที่ผ่านมานับพันปียังพอหลงเหลือดีเอ็นเออยู่บ้างการคืนชีพจากความตายของชาวอียิปต์ก็จะไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาที่ลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป
การที่ฝังสมบัติไปพร้อมกับมัมมี่ให้ไปใช้ในโลกหน้าของอียิปต์ แสดงให้เห็นว่าการคืนชีพที่ว่านั้นไม่ใช่แค่การทำตามพิธีแต่พวกเขาคิดว่าเจ้าของจะกลับมาใช้สมบัตินั้นจริงๆ ลองดูอย่างชาวจีน ศาสนาพราหมณ์หรือแม้แต่พุทธเองก็มีถวายของให้คนตายไปใช้ในโลกหน้าคล้ายๆ กัน แต่พอถวายเสร็จก็ทำพิธีลานำของกลับไปกินถ้าเป็นของใช้ก็ถวายให้วัดไปเลย เห็นได้ชัดว่าคำว่า “โลกหน้า” ของอียิปต์แตกต่างกับชาติอื่นๆ
แต่ถ้าพวกเขาเคยเห็นขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่อไปก็คือใครเป็นคนบอกชาวอียิปต์ถึงเรื่องนี้ พระเจ้าในจินตนาการของพวกเขางั้นหรอ?
เอ่อเรื่องความเป็นอมตะของชีวิตยกไปบทหน้าก็แล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น