31 ต.ค. 2554

         มัมมี่กับความเป็นอมตะของชีวิต 
         เดือนนี้ก็ยังอยู่ที่อียิปต์   ปิรามิดแห่งกีซาก็พูดไปแล้วครั้งนี้มาพูดถึงมัมมี่อันโด่งดังกันบ้าง   อียิปต์มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายว่าถ้าเราเป็นชีวิตเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง   จึงการเกิดการทำมัมมี่เพื่อดองศพรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยไป   จากนั้นก็พันด้วยผ่าลินินสีขาวอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ นั้นแหละ

         มัมมี่   มาจากคำว่า   มัมมียะ   คำในภาษาเปอร์เซียหมายถึง   ซากศพที่ดองจนเป็นสีดำ   แต่ทำไมถึงมาจากเปอร์เซียล่ะ?   หรือว่าที่เปอร์เซียมีการดองศพมาก่อน?   อันนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน!   แต่ที่แน่ๆ ก็คือชาวอียิปต์มีศาสตร์ด้านการแพทย์ที่สูงมากดูได้จากการทำมัมมี่ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์   แบคทีเรีย   ความชื้น   และการผ่าตัด   ซึ่งทุกอย่างต้องพอดิบพอดีกันไม่อย่างงั้นการทำมัมมี่จะไม่สำเร็จ   นึกไม่ถึงว่าความเชื่อแบบลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับการคืนชีพจากความตายจะมีอิทธิพลต่อชาวอียิปต์มากขนาดนี้   ถึงกับต้องทดลองทำร่างไม่ให้เน่าทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นว่าจะกษัตริย์องค์ไหนกลับมามีชีวิตหลังจากตายไปแล้วซักหน่อย   หรือว่าเคยเห็น !!

         ประวัติการเกิดมัมมี่เท่าที่ผมรู้มัมมี่ตัวแรกไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพครับ!   เทพองค์นั้นคือเทพโอซิริสซึ่งเป็นเทพที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดแต่หลายคนอาจจะไม่รู้จักสังเกตได้ไม่ยากครับ   เทพโอซิริสจะทำท่าเอาแขนไขว้บนหน้าอกคล้ายๆ กับกำลังกอดอกมือบนฝาโลงศพที่เก็บมัมมี่   มือข้างหนึ่งถือแส้   ข้างหนึ่งถือคฑา   ตามตำนานเล่าว่าเทพโอซิริสเสด็จลงมาสั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ โดยมีเทพธอทเป็นผู้ช่วย   จากนั้นก็ครองบัลลังค์ต่อจากเทพเกบผู้เป็นบิดา   (แต่บางตำราบอกว่าบิดาของโอซิริสคือเทพรา)

นี่แหละเทพโอซิริสล่ะ

         ขอรวบรัดตัดตอนไปถึงตอนทำมัมมี่เลยและกัน   เรื่องมันเกิดตรงที่เทพเซ็ท(น้องชาย)อิจฉาเทพโอซิริส(พี่ชาย)   จึงวางแผนฆ่าพี่ชายตัวเองและสถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์แทน   เทพีไอซิสผู้เป็นน้องสาวและภรรยาในเวลาเดียวกัน   ทำไมพี่น้องถึงแต่งงานกันได้น่ะหรือ!   เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยวัฒนธรรมของอียีปต์เป็นแบบนี้แหละ   พระองค์รีบตามหาโลงศพที่เทพเซ็ทหลอกให้เทพโอซิริสลงไปนอนแล้วก็ปิดฝาโลงลอยแม่น้ำไนล์   ทำไมการฆ่าเทพมันถึงตายง่ายนักน่ะ!   เมื่อเทพีไอซิสเจอศพของโอซิริสแล้วเทพเซ็ทที่อาฆาตแค้นก็ทำการฉีกร่างออกเป็น  14  ส่วนโยนทิ้งไปทั่วอียิปต์   และแน่นอนว่าศรีภรรยาก็ตามหาตามระเบียบและเมื่อหาเจอชิ้นส่วนครบก็ร่วมมือกับเทพอานูบิสลูกติดของเทพโอซิริสทำการดองศพกลายเป็นมัมมี่ตัวแรกของโลก

         ดูๆ ไปแล้วการเป็นเทพมันก็วุ่นวายเหมือนมนุษย์ไม่ผิดเลยนะมีทั้งลูกติด   ฆ่าฟัน   แย่งอำนาจ   และความตาย

โลงศพของมัมมี่

         การทำมัมมี่เพื่อรอวันคืนชีพนั้นอย่างที่บอกไปว่าต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์รวมกันอย่างเรื่องกายวิภาคศาสตร์   วิชานี้เอาไว้สำหรับการนำสมองออกทางจมูกและล้วงอวัยวะภายในออกมา   ถ้าไม่รู้เรื่องกายวิภาคหรือความรู้เรื่องร่างกายไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าโพรงจมูกมันเชื่อมต่อจนถึงสมอง   ถ้าในยุคปัจจุบันเอ็กเรย์ก็รู้แล้ว   แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าชาวอียิปต์รู้ได้ยังไง ?   ส่วนเรื่องแบคทีเรียกับความชื้น   2   เรื่องนี้มีความสำคัญมาก

         ทำไมนะหรอ?   ก็เพราะว่าขั้นตอนแรกของการทำมัมมี่ก็คือการผ่าท้องด้านสีข้างหรือเอวนั้นแหละ   ขอย้ำว่าผ่าตรงเอว!   แล้วล้วงเอาอวัยวะภายในที่มีแบคทีเรียจำนวนมากที่มักจะเน่าก่อนทำมัมมี่เสร็จจำพวก   ปอด   กระเพาะ   ลำไส้   และตับ   ยกเว้นหัวใจ   ไปใส่ในโถเพื่อรอวันฝังไปพร้อมกัน   และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการดองศพโดยการนำเอาความชื้นออกจากศพให้มากที่สุด   คล้ายๆ กับการทำปลาเค็มบ้านเราแหละ!   ที่เอาเกลือทาแล้วตากแดด   เกลือมีคุณสมบัติทางเคมีคือดูดความชื้นแล้วยิ่งตากแดดด้วยความชื้นจะออกไปเร็วมาก   ในที่สุดปลาเค็มก็จะไม่เน่าแต่จะแห้งและเก็บได้นาน

         พูดถึงมัมมี่ดันไปเรื่องปลาเค็มได้ยังไง?

         พอเอาเครื่องในออกมาตามสูตรครบแล้วก็เอาสมองออกเป็นลำดับต่อไป   โดยใช้ตะขอทองแดงสอดเข้าทางจมูกเข้าไปตีเนื้อสมองจนเละ!  แล้วคว่ำหน้าลงให้สมองเละๆ ไหลออกมา   นึกภาพแล้วสยองแทน!!   แต่มีมัมมี่หลายตัวที่ใช้วิธีเจาะกะโหลกแทนสอดทางจมูก   จากนั้นก็เทน้ำมันดินที่ต้มจนเดือดหรือไม่ก็เรซิ่นใส่ลงกะโหลกแทน   ที่นี้ก็ถึงขึ้นตอนสุดท้ายแล้วนั้นก็คือการนำความชื้นออกจากศพโดยการทาสารที่ชื่อว่า   นาตรอน   ประกอบด้วยสาร   เนทิฟ  โซเดียม  คาร์บอเนต   และ   โซเดียม   ไบคาบอเนต   เจ้าสารพวกนี้มีคุณสมบัติดูดความชื้นเหมือนเกลือนั้นแหละ  

         จำไว้ว่าถ้ามีคำว่า   โซเดียม   มันคือส่วนหนึ่งของเกลือ  

         กลับมาทำมัมมี่กันต่อต้องทาสารที่ว่านั้นให้หมดทั้งภายในภายนอกศพและอวัยวะที่ล้วงออกมาด้วย   โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกๆ 3  วันเป็นเวลา  60-70  วันศพก็จะแห้งสนิท   แล้วก็ล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์   ก็แหง่ดิว่ะ! อียิปต์มันมีแม่น้ำซักกี่แห่งกันล่ะ!!   ที่เหลือก็ทาน้ำมันให้ผิวยืดหยุ่น (ไปทำไม?) ตกแต่งตามชอบติดขนตาปลอม   ลูกตาเทียม   วิกผม   ทาเล็บ   อัดพริกไทยเพื่อกันจมูกปี้   ยัดผ้าลินินใส่ปากให้แก้มเต่ง   ก่อนพันผ้าลินินใส่โลงและฝังพร้อมกับสมบัติเพื่อให้ไปใช้ในโลกหน้า

         เอ่อ !!   ลืมไปอวัยวะที่ล้วงออกมาพอมันแห้งสนิทด้วยวิธีเดียวกับศพก็ใส่โถที่ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ  4  องค์บุตรของเทพโฮรัส   ตับบรรจุในโถ  Imsety   เทพเศียรเป็นคน   ปอดบรรจุในโถ  Hapy  เทพเศียรเป็นบาบูน    กระเพาะบรรจุในโถ  Duamutef  เทพเศียรเป็นหมาใน   ลำไส้บรรจุในโถ  Qebehsenuef  เทพมีเศียรเป็นเหยี่ยว   แล้วก็นำไปวาง  4  มุมของสุสานโดยมีรูปสลักเทพอีก  4  องค์คอยปกป้อง   ส่วนของเหลวที่ไหลลงรูที่เจาะตรงปลายเตียงลงโถก็ฝังลงสุสานพร้อมกัน   เป็นอันเสร็จพิธี

         มันเป็นวิทยาการที่สูงมากทั้งการผ่าด้านข้างแล้วหยิบอวัยวะได้อย่างถูกต้องอย่างกับมีกล้องส่อง   ซ้ำยังรู้สาเหตุการเน่าของซากศพว่ามีความชื้นและแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ   แล้วเรื่องความเชื่อตายแล้วฟื้นทั้งๆ ที่ไม่มีกษัตริย์องค์หรือใครฟื้นขึ้นมาจริงๆ เลยซักคนแต่พวกเค้าก็ยังทำสืบเนื่องเป็นพันปี   ไปๆ มาๆ เรื่องนี้เลยถูกนำไปรวมกับแนวคิด   พระเจ้าจากอวกาศ   หรือ   “God  of  space”   ว่าเรื่องพวกนี้มีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าเป็นคนสอน   เพราะว่าอย่างที่บอกไปตอนต้นย่อหน้านี้มันเป็นวิทยาการชั้นสูง   นอกจากนั้นยังมีการพบฟันปลอมถึงจะแค่ตัวหรือสองตัวแต่มันก็ประหลาดเกินไป   ชาวอียิปต์สร้างฟันปลอมได้แล้วหรอ?   แล้วสิ่งที่สำคัญพวกเขาทำอย่างจริงจังไปทำไมถ้าไม่ใช่เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วคืนชีพกลับมาจริงๆ !!

         อย่างพึ่งตกใจ !?! ว่ากองทัพมัมมี่จะคืนชีพกลับมาครองโลกอย่างในเรื่อง  เดอะ  มัมมี่รีเทิร์น   เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องเลย

         ถ้าการคืนชีพของชาวอียิปต์คือการเห็นคนที่หน้าตาเหมือนคนที่ตายไปหลายปีกลับมาเดินมากินมานอนอย่างกับมีชีวิตแต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีที่ติ   แน่นอนว่ายุคนั้นมันเป็นไปไม่ได้   ถ้ายุคนี้ก็ว่าไปอย่าง!  

         เทคโนโลยีราวกับปาฏิหาริย์ที่ว่านั้นก็คือการ  โคลนนิ่ง   เพราะร่างที่โคลนนิ่งออกมาจะเหมือนต้นแบบทุกประการทั้งรูปร่าง  หน้าตา  สัดส่วน   แต่ไม่รู้ว่าสมองและความรู้สึกจะเหมือนกันด้วยหรือเปล่า   แล้วที่สำคัญที่สุดนักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งหนูจากซากที่ตายมาแล้ว  16  ปีได้สำเร็จ   ถ้ามีการอนุญาตให้ทดลองสกัดดีเอ็นเอของมัมมี่   กาลเวลาที่ผ่านมานับพันปียังพอหลงเหลือดีเอ็นเออยู่บ้างการคืนชีพจากความตายของชาวอียิปต์ก็จะไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาที่ลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป  

         การที่ฝังสมบัติไปพร้อมกับมัมมี่ให้ไปใช้ในโลกหน้าของอียิปต์   แสดงให้เห็นว่าการคืนชีพที่ว่านั้นไม่ใช่แค่การทำตามพิธีแต่พวกเขาคิดว่าเจ้าของจะกลับมาใช้สมบัตินั้นจริงๆ ลองดูอย่างชาวจีน   ศาสนาพราหมณ์หรือแม้แต่พุทธเองก็มีถวายของให้คนตายไปใช้ในโลกหน้าคล้ายๆ กัน   แต่พอถวายเสร็จก็ทำพิธีลานำของกลับไปกินถ้าเป็นของใช้ก็ถวายให้วัดไปเลย   เห็นได้ชัดว่าคำว่า   โลกหน้า   ของอียิปต์แตกต่างกับชาติอื่นๆ  

         แต่ถ้าพวกเขาเคยเห็นขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่อไปก็คือใครเป็นคนบอกชาวอียิปต์ถึงเรื่องนี้   พระเจ้าในจินตนาการของพวกเขางั้นหรอ?

         เอ่อเรื่องความเป็นอมตะของชีวิตยกไปบทหน้าก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น