25 ส.ค. 2560

ตำนานสร้างเมืองกัมพูชา "พระทองตำนานสร้างกัมพูชา"

   มาถึงทางกัมพูชากันบ้าง  แถวนั้นจะต่างกับทางพม่าไปเยอะที่เดียวไม่ได้จบลงด้วยความผิดหวังแต่จะเริ่มต้นด้วยการสร้างเมืองและมักจะมีฉากแอ็กชั่นที่มนุษย์สู้กับนาคเป็นประจำ  และมนุษย์มักจะชนะเสมอ  อืม....จากที่เขียนเรื่องเผ่าพันธุ์พญานาคมาไม่รู้คนกัมพูชาเมื่อก่อนเป็นยอดมนุษย์กลายพันธุ์กันหรือยังไง  เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยแล้วกัน
   เรื่องนี้ผมตั้งชื่อให้ว่า "พระทองตำนานสร้างกัมพูชา" ก็แล้วกัน   เรื่องมันมีอยู่ว่า......ณ กรุงอินทปรัตบุรี  มีเจ้าครองนครชื่อว่า  "พระเจ้าอาทิตยวงค์"  มีโอรส 4 คนเมื่อวัยก็ส่งออกไปครองเมืองก็ส่งตามทิสตะวันออก  ตะวันตกและทิศเหนือตามลำดับ  ส่วนน้องคนเล็กยังเยาว์อยู่เลยให้ประทับอยู่ด้วยกันในวังหลวง  แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นจากที่น้องคนเล็กอยู่ในวังกับพ่อนี่แหละครับ


นครวัด ประเทศกัมพูชา


   และแล้วก็ถึงบทของพระเอกของเราซะที  ก็ชื่อพระทองตามชื่อเรื่องนั้นแหละ  พระทองเป็นโอรสคนที่ 3 ที่ถูกส่งไปครองเมืองในทิศเหนือ  ซึ่งครอบครัวนี้มีธรรมเนียมอยู่ว่าเมื่อครบ 12 เดือนจะต้องมาพร้อมหน้าพร้อมตากันถวายบังคมพระราชบิดา 1 ครั้ง  แต่ว่าครั้งนี้พระเจ้าอาทิตยวงค์ดันเกิดพระประชวรขึ้นมาเลยบอกให้พระราชบุตรคนสุดท้องเป็นตัวแทนขึ้นบัลลังก์รับคำถวาย  ฝ่ายพระทองก็นั่งมโนไปว่าน้องคนสุดท้องจะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองเมืองหลวง  เกิดอาการอิจฉาขึ้นมาเลยปรึกษากับบรรดาเสนาอำมาตย์  แล้วผลจะออกมาเป็นอะไรไปได้นอกจากยกทัพเข้ายึดเมือง
   พระทองยกทัพมาล้อเมืองเอาไว้พระอาทิตยวงค์ทรงทราบก็ก็ทรงพิโรธโกรธกริ้วเป็นมากมาย  ส่งราชบุตรคนสุดท้องออกไปเจรจาแทน  ฝ่ายคนน้องก็ออกไปถามไถ่ความเป็นมาเป็นไป  พระทองเลยรู้ความจริงว่าครั้งนั้นเป็นแค่การออกมารับแทนไม่ใช่การขึ้นครองเมืองก็ว้อนวอนให้พระราชบิดาพระราชทานอภัยโทษ  แต่พระอาทิตยวงค์ทรงเคืองมากเลยยกกองทัพออกไปจับตัดเกล้าผม (ก็ไม่รู้อ่ะนะว่ามันมีความหมายอะไร) และเนรเทศพระทองกับข้าราชบริพารทั้งหมดออกจากเมืองไป


พญานาค ศิลปะกัมพูชา

   พระทองกับข้าราชบริพารเดินไปจนถึงนครโคกหมันซึ่งใกลเขตเมืองของพวกจาม (เขาไม่ถูกกันอ่ะนะ)  และตั้งหมู่บ้านขึ้นเพื่อจะสร้างเป็นเมืองต่อไป  วันไหนซักวันนั่นแหละพระทองได้เสด็จประพารถึงโคกหมัน  เที่ยวเพลินจนน้ำทะเลขึ้นท่วมกลับไม่ได้เลยต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น  แล้วคืนนั้นเองนางนาคทาวดีกับบริวารขึ้นมาเล่นน้ำพอดี
   พอพระทองเห็นนางทาวดีเข้าก็เกิดชอบขึ้นมาแล้วออกปากขอแต่งงานมัน ณ วันนั้นเลย  จะด้วยไวไฟหรือยังไงไม่แน่ใจนางนาคตอบตกลง ณ วันนั้นเช่นกัน  แต่ขอพลัดไปอีก 7 วันเพื่อลงไปบอกพระบิดาและให้เวลาพระทองเตรียมเครื่องบรรณาการไว้ที่โคกหมัน  กล่าวเสร็จก็กลับเมืองนาคไป 
   ฝ่ายบิดาพญานาคทราบเรื่องก็ไม่มีปัญหาอะไร  ครบ 7 วันก็ขึ้นมาตามสัญญา  หลังจากสอบถามเรื่องวงศ์ตระกูลเป็นที่เรียบร้อย  พญานาคก็จัดสูบน้ำออกแล้วเนรมิตเมืองตั้งชื่อว่า "กรุงกัมพูชา"
   เสร็จไปหนึ่งเรื่องครั้งนี้ไม่มีฉากแอ็กชั่นเท่าไร  พล็อตออกจะเรียบๆ ไปหน่อยแต่ไม่เป็นไรตำนานสร้างเมืองกัมพูชายังมีอีกหลายพล๊อตไว้รอพล็อตหน้าและกัน


เครดิสภาพ

14 ส.ค. 2560

นาคตามพงศาวดารพม่า

   ตามสัญญาบทความก่อนบอกไว้ว่าจะเล่าเรื่องพญานาคในพงศาวดารและตำนานพื้นบ้านของรอบๆ บ้านเราให้ฟัง  เริ่มต้นด้วยตำนานของพม่ากันเลย  แล้วอย่าได้คิดว่ามันจะเหมือนๆ กันหมดนะ  เพราะแต่ล่ะท้องที่ก็มีพล็อตแตกต่างกันไป  บ้างก็ใส่ฉากแอ็กชั่นลงไป  บ้างก็จบแบบแฮ็ปปี้เอ็นดี่ง  แต่ของพม่าจบด้วยดราม่าลงท้ายด้วยน้ำตาตลอด  ไม่เชื่อลองอ่านดูซิ

   เรื่องมีอยู่ว่่า....เมืองตะโก้งมีตายายคู่หนึ่ง  มีลูกชายชื่อว่า "สอกตะเรียต" เมื่อโตเป็นหนุ่มก็เริ่มออกเดินทางหาอาจารย์เพื่อหาวิชาใส่ตัว  พอดีไปเจออาจารย์มีชื่อคนหนึ่ง (แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าชื่ออะไรในหนังสือไม่ได้บอกไว้)  หลังร่ำเรียนอยู่ 3 ปีแต่ไม่สอนอะไรให้เลย สอกตะเรียตจึงบอกลาอาจารย์มีชื่อ (ที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร) ขอตัวกลับบ้าน  อาจารย์กไม่ห้ามแต่ก่อนไปได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่า "อย่าเห็นแก่นอนและยิ่งถามปัญหามากเท่าใด  ก็จะยิ่งได้คำตอบมากข้อขึ้นเท่านั้น"  ขณะนั้นเองทางเมืองตะโก้งได้สิ้นพระเจ้าแผ่นดิน  ก่อนตายพระองค์สั่งไว้ว่า "ผู้ใดอภิเษกสมรสกับพระนางภูคำพระราชธิดา  ก็ให้ผู้นั้นเป็นพระราชา"  แต่แล้วก็มีปัญหาเมื่อชายหนุ่มที่เข้าอภิเษกตายในวันพรุ่งเช้าของวันส่งตัวเข้าหอ


วัดเด่นสะหรีศรีเมืองแคน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่




  
   แน่นอนว่าพระนางภูคำไม่ได้เล่นเมคเลิฟจนตายเลยกลายเป็นปัญหาที่เสนาบดีขบคิดหัวแทบแตกและหาสาเหตุไม่ได้  และแล้วพระเอกของเรื่องก็รับสาอา  สอกตะเรียตได้นึกถึงคำพูดทิ้งท้ายของอาจารย์มีชื่อขึ้นมาได้บวกความกลัวว่าตายเหมือนคนก่อนๆ เลยระวังตัวไม่หลับไม่นอนทั้งคืน  (ไม่ได้เล่นเมคเลิฟจริงๆ นะ)  และแล้วความลึกลับของพระนางภูคำก็ปรากฎ...

   แท้ที่จริงแล้วพระนางภูคำมีคู่ขาเป็นพญานาคอยู่ก่อนแล้ว  ทุกๆ  7 วันจะมาหานาง 1 ครั้งแล้วมันตรงพอดิบพอดีกับวันอภิเษกพอพญานาคเห็นมีคนนอนอยู่ข้างนางก็ลงฆ่าซะทุกครั้งไป  โดยเจ้านาคตนนี้จะเลื้อยลงมาจากเสาร์ต้นหนึ่งซึ่งมันกลวงลงมาแปรงร่างลงนอนกับพระนางภูคำ  แต่คราวนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของพระราชาสอกตะเรียต  และแล้วก็วนมาถึงวันพญานาคมาหาอีกครั้ง  ตลอดเวลา 7 วันพระราชาตั้งหน้าตั้งตาลับดาบจนคมกริบและคืนนั้นได้ตัดต้นกล้วย 2 ต้นกับเขาควาย  รอจนพระมเหสีหลับสนิทจึงนำมาวางตรงที่บรรทมให้เหมือนมีคนนอนอยู่ (โห...เจ๊นี่ก็หลับสนิทเกิ๊นน)  ครั้งเวลาพญานาคมาเห็นว่าเป็นคนนอนอยู่ข้างพระนางภูคำ  ก็ตรงเข้ากัดเต็มแรงเขี้ยวก็ฝังจมกับเขาควายจนเอาไม่ออก  พระราชาสอกตะเรียตเห็นโอกาสก็ตรงเข้าไปฟันฉับเดียวคอพญานาคขาดกระเด็นกลิ้งคลุ่กๆ เป็นอันสิ้นชีวิตไป  แต่เรื่องยังไม่จนแค่นี้  ทางพระมเหสีภูคำเกิดโกรธที่สอกตะเรียตไปฆ่าคู่ขาของนางเข้าแต่ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่เก็บความแค้นไว้  ที่ทำได้ก็มีแค่ฝอกหนังเอามาทำเป็นที่นอนกับหมอน  เอากระดูก 1 ท่อนมาทำเป็นปิ่นปักผม  และรอคอยเวลาที่แก้แค้นพระราชาสอกตะเรียต


งูมังกร  มันมีตัวตนจริงๆ นะ


   เวลาผ่านมาเท่าไรไม่ทราบได้พระนางภูคำได้ก็นึกวิธีแก้แค้น  เลยไปถามคำถามพระราชาโดยอ้างว่า  "ถ้าพระราชาตอบคำถามได้ให้ประหารพระมเหสีเสีย  แต่ถ้าตอบไม่ได้ให้พระมเหสีประหารพระราชาเสีย"  มันช่างเป็นวิธีที่แยบยลมากประมาณว่าถ้าฆ่าไม่ได้ก็ขอตายเองเลยและกันซินะ  และคำถามนั้นมีอยู่ว่า  "อะไรเอ่ย...พันหนึ่งค่าซัก  ร้อยหนึ่งค่าเขาถัก  กระดูกเจ้าปัก  ช้องผมน้องรักเสมอใจ"   นางให้โอกาส 7 วันหาคำตอบมาให้ได้ 

   พระราชาตอบไม่ได้ไล่ถามตั้งแต่เสนาบดีจนไปถึงมหาดเล็กแต่ก็ไม่มีใครตอบได้    จวนเจียนจะถึงกำหนดและแล้วตัวช่วยก็มาถึงเมื่อตายายได้ยินข่าวที่สอกตะเรียตเป็นพระราชาจึงเดินทางมาเยี่ยม  ขณะเดินทางมานั้นได้ดันไปได้ยินกา 2 ตัวพูดกัน (ตายายนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ) 
   กาตัวแรกพูดว่า "พรุ่งนี้เราไปหากินที่ไหนกันดี"
  กาตัวที่สองตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็ที่เมืองตะโก้งใกล้ๆ นี่แหละ"




   "ทำไมต้องไปที่นั่นล่ะ"
   "ไม่รู้เร๊อะว่าพรุ่งนี้จะครบกำหนดที่พระราชาตอบคำถามไม่ได้ต้องถูกประหาร  เราจะได้แทะเนื้อพระราชากันแล้ว"
   กาตัวแรกถามกลับว่า "แกมีฟันแทะเร๊อะ  เขาเรียกจิกกินว้อย!!"
   กาตัวที่ 2 ได้ตอบกลับมาว่า "อ้าวไอ้นี้นอกบทอีก  แกต้องถามว่าคำตอบคืออะไรต่างหาก  บทพูดยิ่งน้อยๆ อยู่  เอาเป็นว่าคำตอบมันมีอยู่ว่า  ข้อแรก พันหนึ่งค่าเขาซัก ก็หมายถึงจ้างบุรุษลอกหนังนาคซักฟอกให้สะอาด  โดยเสียค่าซักหนึ่งพัน  ร้อยหนึ่งค่าเขาถัก  ก็คือให้บุรุษเย็บถักหนังนาคให้เป็นที่นอนกับหมอนหนุน  โดยเสียค่าจ้างหนึ่งร้อย    กระดูกปักเจ้าช้องผน้องรักเสมอใจ  ก็หมายถึงความรักที่มีต่อพญานาคอย่างสุดใจ  จึงเอากระดูกมาทำปิ่นปักผม"
   แล้วตายายก็นำเรื่องนี้ไปเช่าให้พระราชาสอกตะเรียตฟัง  เป็นอันว่าพระราชาก็แก้ปัญหาได้และไม่เอาโทษพระนางภูคำแต่ตัดออกจากการเป็นพระมเหสีแทน

   เป็นอันจบไปอีกเรื่องที่ไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งเท่าไรออกแนวฆ่าตกรรมอำพรางซะด้วย  ว่าแต่รู้สึกเหมือนผมไหมว่าพญานาคเป็นตัวประกอบยังไงไม่รู้


เครดิสภาพ

5 ส.ค. 2560

เผ่าพันธุ์พญานาค

   มาเล่าเรื่องพญานาคกันบ้างขอบอกว่าเร้าใจกว่าเรื่องของครุฑแน่นอนเนื่องจากบ้านเรารับคติของนาคมาทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายเรื่อง  แถมในหนังสือ "ปรมัถโชติกะ

มหาอภิธัมมัตสังคหฎีกา" ปริจเฉมที่ 5 ได้แบ่งประเภทของนาคไว้ระเอียดระออเลยว่า
1.กฏฺฐมุข  พญานาคมีพิษเมื่อโดนพิษแล้วร่างกายจะแข็งไปทั้งตัวแขนขางอยืดไม่ได้  พูดภาษาบ้านเราก็คือเกร็งไปทั้งตัวนั่นแหละ
2.ปูติมุข พญานาคมีพิษที่โดนพิษแล้วบาดแผลจะเน่ามีน้ำเหลืองไหล
3.อคฺคิมุข พญานาคมีพิษที่โดนแล้วจะร้อนไปทั้งตัว  รอยกัดจะเป็นริ้วเหมือนรอยไฟไหม้
4.สตฺถมุข   พญานาคที่โดนพิษแล้วร่างกายจะเหมือนถูกฟ้าผ่า







ศิริศรีปัฏฐานนาคราชเจ้า อยู่ที่วัดถ้ำผาเกิ้ง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เชิญไปเที่ยวชมกันได้นะ


                                        
นี่คือพิษ 4 ประเภทที่พญานาคจะปล่อยออกมา  ส่วนวิธีการปล่อยก็ไม่ได้มีแต่กัดอย่างเดียวแต่แบ่งไปอีก 4 แบบ
1.ทัฎฐวิสพญานาค  เมื่อกัดแล้วพิษจะเเผ่ซ่านไปทั้งตัว
2.ทิฏฐวิสพญานาค  สามารถพ่นพิษออกทางตา
3.ผุฏฐวิพญานาค  มีพิษอยู่ทั้วร่างเเค่สัมผัสร่างก็ติดพิษได้
4.วาตวิสพญานาค  พ่นพิษทางลมหายใจ
  

นอกจากวิธีปล่อยพิษเเล้วยังเขียนถึงลักษณะการแพร่กระจายของพิษไว้อีก 4 แบบคือ
1.อาคตวิส น โฆรวิส พิษจะเเผ่ไปอย่างรวดเร็วเเต่ไม่รุนเเรง
2.โฆรวิส น อาคตวิส พิษเเรงมากเเต่เเผ่ไปอย่างช้าๆ
3.อาคตวิส โฆรวิส  พิษเเผ่ไปเร็วมากเเล้วเเรงมาก
4.น อาคตวิส น โฆรวิส  มีพิษเเผ่ไปอย่างช้าเเละไม่เเรง



                                                         
พญานาคสร้างขึ้นมาตั้งแต่การแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี พ.ศ. 2540 ตั้งตระหง่านอยู่หน้าสนามกีฬาหลักของ มธ. ศูนย์รังสิต

ยังๆ ยังไม่จบยังเเบ่งตามลักษณะการเกิดไปอีก 4 เเบบ
1.อัณฆชพญานาค  พญานาคที่เกิดจากไข่
2.ชลาพุชพญานาค  พญานาคที่เกิดในครรภ์
3.สังเสทชพญานาค  พญานาคที่เกิดจากเหงื่อไคล
4.โอปปาติ พญานาค  พญานาคที่เกิดก็ใหญ่โตเลย





 เเลัวเเบ่งตามที่อยู่อาศัยไปอีก 2 ชนิดคือ
1.ชลชพญานาค  พญานาคที่เกิดในน้ำ
2.ถลชพญานาค  พญานาคที่เกิดบนบก
  
อันนี้สุดท้ายแล้วนะนอกจากที่กล่าวมามากมายก่ายกองนั่นแล้วยังแบ่งออกเป็นไปอีก 2 ประเภท
1.กามรูปีพญานาค  พญานาคที่เสวยกามคุณ
2.อกามรูปีพญานาค  พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ
  

รวมทั้งหมดที่ว่าแล้วพญานาคมีทั้งหมด 1,025 ชนิด  แต่ไปนับเอาเองนะ
   อีกเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ไว้ว่ามีนาคบางชนิดที่ไม่กลัวครุฑและครุฑก็กินไม่ได้ด้วยซึ่งมี 7 ชนิด
1.นาคอันมีกำเนิดประณีตกว่าครุฑ  อย่างครุฑที่เกิดในครรภ์จะกินนาคที่เกิดแล้วโตทันทีไม่ได้
2.กัมพลัสตรนาค
3.ธตรัฐนาคราช
4.นาคอันอยู่ในสีทันดรสมุทรทั้ง 7
5.นาคอยู่ในแผ่นดิน
6.นาคอยู่ในภูเขา
7.นาคอยู่ในวิมาน

โอเคจบเรื่องชนิดของนาคแบ่งสายพันธุ์ซะเยอะแยะไม่รู้ว่าครุฑจะแบ่งแบบนี้หรือเปล่านะ  คราวหน้ามาอ่านเรื่องตำนานของนาคในประเทศเพื่อนบ้านเรากันบ้าง  ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลแถวๆ พม่า  ลาว  กัมพูชาแถวๆ นี้แหละ  ว่าตำนานบ้านเขาจะเหมือนกับของเราไหม


เครดิสภาพ

19 ก.ค. 2560

กำเนิดครุฑ - นาค

   เล่าครุฑมาพักใหญ่ๆ และมาถึงต้นกำเนิดของครุฑกับนาคกันบ้าง (เหมือนจะเล่าย้อนยังไงไม่รู้นะ) ตำนานกำเนิดครุฑมีหลายแบบขุนวิจิตรมาตราพบว่าคัทภีร์ปุราณะบางเล่นกล่าวว่าพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นครุฑ  บางก็ว่าพระนารายณ์เป็นผู้สร้างครุฑ  เอาเป็นว่าครุฑกับพระนารายณ์แยกกันไม่ได้ก็แล้วกัน  แต่ตำนานที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่ครุฑมีพ่อเดียวกับนาคแล้วก็กลายเป็นความขัดระหว่างเผ่าพันธุ์  เอาเป็นว่าไปอ่านตามสไตล์การเขียนของผมมั่งและกัน  เรื่องมีอยู่ว่า....

   พระทักษะเป็นมุนีที่มีบุตรมากที่สุดโอรสถึงพัน  ธิดาไม่ต่ำกว่า 60 นาง  ได้แจกจ่ายให้เทพต่างๆ คนที่เห็นจะโชคดีที่สุดก็คือพระกัศปะเพราะไปถึง 13 นาง  แต่ยกย่องชายาอยู่ 2 นางคือนางวินตากับนางกัทรุ  ซึ่งทั้งคู่สามารถขอพรได้่จากพระกัศปะได้    นางกัทรุขอให้มีลูกเป็นนาคถึงพันตัว (ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงถึงอยากมีลูกเป็นงูยักษ์แบบนั้นนะ) ส่วนนางวินตาก็ไม่อยากน้อยหน้าขอให้ตัวเองมีโอรสเก่งกล้า 2 องค์  แล้วก็ได้สมใจนางแต่มีปัญหาอยู่ตรงที่หลังจากที่ลูกของนางกัทรุฝักออกมาเป็นนาคพันตัว (แล้วทำไมถึงออกลูกเป็นไข่ได้หว่า??)  แต่ของนางวินตาไม่ยอมฝักสักที  คงจะด้วยอารมณ์กลัวน้อยหน้าเลยทุบไข่ดูสักฟอง 

 


   ผลออกมาไม่น่าอภิรมณ์นัก  จริงๆ ไม่ควรจะมีในความคิดด้วยซ้ำขอพรไปแล้วยังไงก็ได้ตามพรแน่  บุตรคนนี้ของเธอออกมามีร่างกายพิการช่วงล่างคือไม่มีขาจึงได้ชื่อว่า "อนอุรุ" แต่ด้วยเรียกเพี้ยนหรือยังไงไม่ทราบคนทั่วไปมักจะรู้จักในชื่อว่า "อรุณ" ที่หมายถึงช่วงเช้านั่นแหละ  หรือไม่ก็เพราะนายคนนี้มักจะมาพร้อมกับพระอาทิตย์ในยามเช้าก็ได้นะ  โดยมีเนื้อเรื่องแยกย่อยเกี่ยวกับอรุณหลังจากถูกบังคับให้ออกจากไข่ก่อนกำเนิดเลยโกรธแม่มากหนีไปเป็นสารถีให้กับระอาทิตย์  ไปไม่ไปเปล่ายังสาปแม่ตัวเองให้เป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลา 500 ปี แล้วบุตรคนที่สองจะเป็นผู้ปลดปล่อย  สุดท้ายนางวินตาก็ซวยไปอยู่ๆ ก็กลายเป็นทาสซะอย่างนั้น  บทเรียนราคาแพงกลายเป็นประสบการณ์นางจึงอดใจรอไข่ฟักอย่างใจร้อน (??)  แล้วก็ครบกำหนดไข่ฟองฟักออกมารูปร่างสมบูรณ์  มีปากเป็นจะงอยปากแบบอินทรี  มีแขนเหมือนมนุษย์  ปีกสีแดงตัวสีทองหรือก็ครุฑนั่นเอง...



     เนื้อเรื่องส่วนที่นางวินตาเป็นทาสมีตำนานแยกไปอีกทางที่ไม่ใช่โดนอรุณสาปแต่เพราะแพ้ผนันทายสีของ "ม้าอุจไฉสรพะ" ผิดเลยกลายเป็นทาส  แต่ที่แพ้นี่แพ้เพราะเล่ห์กลของนางกัทรุนะ  คือนางกัทรุกลัวจะตกเป็นทาสเลยให้ลูกๆ นาคทั้งหลายแปลงเข้าแซรกเป็นขนม้าจากสีขาวเลยกลายเป็นสีดำ  แล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อครุฑสงสัยว่าทำไมแม่และตัวเองถึงต้องเป็นทาสคอยรับใช้นาคกับนางกัทรุ  พอเค้นถามเข้านางวินตาก็เล่าเรื่องที่แพ้ผนันไป  ฝ่ายครุฑก็รู้ทางเลยไปถามนาคว่าจะทำไงถึงจะให้แม่ของตนพ้นจากความเป็นทาส (ถ้าไปถามตัวแม่คงไม่เรื่องแน่) นาคบอกว่าของน้ำอมฤตมาไถ่ตัวคืนไป  แล้วครุฑก็ออกตามหาน้ำอมฤต  ในเรื่อง "พระเป็นเจ้าของพราหมณ์" พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เล่าส่วนนี้เอาไว้ว่า  ถ้าครุฑไปเอาพระจันทร์ที่มีน้ำอมฤตเป็นบ่อมาให้แล้วจะปล่อยนางวินตาไป  แล้วพญาครุฑก็ไปเอามาได้จริงๆ   แต่ระหว่างทางพระอินทร์ได้เข้ามาขัดขวางเกิดก่ารต่อสู้  พระอินทร์สู้ไม่ได้ "วัชระ" หรือสายฟ้าที่ปราบใครมานักต่อนักก็หักสะบั้นลง  ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องลงมาปราบแต่ก็ไม่อาจสู้พญาครุฑได้  ก็เลยผูกมิตรไปซะเลยโดยครุฑขอให้เวลาปกติอยู่สูงกว่าพระนารายณ์แต่เวลาเดินทางจะเป็นพาหนะให้พระนารายณ์



   แต่ทางพระอินทร์ยังห่วงน้ำอมฤตอยู่เลยขอน้ำอมฤตคืนแต่ครุฑก็บอกไปตามความจริงว่าจะเอาไปไถ่ตัวแม่ออกจากความทาสแต่ก็ไม่ได้ความว่าต้องให้นาคกิน  เลยบอกให้พระอินทร์ตามมาหลังจากวางลงให้นาคแล้วก็ให้พระอินทร์เก็บคืนไป  เมื่อครุฑนัดแนะแผนเรียนร้อยพระอินทร์เลยให้พรแก่ครุฑหนึ่งข้อ  ครัฑขอให้นาคเป็นอาหารของงครุฑได้  แล้วครุฑก็กินนาคเป็นอาหารตั้งแต่นั้นมา  กลับมาที่น้ำอมฤตหลังจากครุฑนำน้ำอมฤตมาวางบนหญ้าคาให้นาคแล้วก็ขอตัวนางวินตาคืน  พวกนาคก็ยินดีคืนให้แล้วเตรียมตัวดื่มน้ำอมฤตแต่ระหว่างนั้นพระอินทร์ก็มายกหม้อน้ำอมฤตคืนไป เป็นอันจบ.....

   สรปุนาคก็อดไปตามระเบียบ  ผมว่านะสำนวนที่ว่า "ลิ้น 2 แฉก" น่าเปลี่ยนเป็น "ปากมีจะงอย"  นะเพราะเรื่องนี้ครุฑเจ้าเล่ห์เอาเรื่องอยู่  บอกให้เอามาให้ก็เอามาให้จริงๆ แต่ไม่ได้ให้กินซักหน่อย  แล้วครุฑพระเอกของเรื่องนี้คือ "สุบรรณ" ที่เป็นครุฑตัวแรกของโลกนั้นแหละ  จริงๆ ยังมีเรื่องเล่าปลีกแยกย่อยอีกเยอะละเอียดมากน้อยแตกต่างกันไปแต่ตอนจบประมาณนี้แหละ


เครดิสภาพ

11 ก.ค. 2560

ครุฑจับนาค

   เล่าเรื่องตำนานของครุฑมาระยะหนึ่งแล้วคราวนี้มาถึงเรื่องอาหารของครุฑกันบ้าง อย่างที่รู้ๆ กันว่าครุฑกินนาคเป็นอาหารหลักมันเป็นเรื่องสืบเนื่องมาตั้งแต่รุ่นแม่ของทั้งคู่  เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังที่หลังและกัน  แต่การกินนาคก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะนาคอยู่ในน้ำ  ถ้าครุฑลากนาคขึ้นจากน้ำไม่ได้ก็จมน้ำตาย  ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็เป็นแบบนั้น  ในปัณฑรกชาดกมีเรื่องมีการเล่าถึงวิธีการจับนาคอยู่  เรื่องมันมีอยู่ว่า...








   ครั้งหนึ่งในอดีตมีเรือสำเภามาแตกที่ท่ากระทุ่ม  มีคนรอดตายมาคนหนึ่งแต่ด้วยเหตุที่ไม่เหลือเสื้อผ้่าเลยทำตัวสมถะไม่ปราถนาเครื่องนุ่งห่ม  นานๆ ไปก็มีคนมาพบและเลื่อมใสปลูกอาศมให้อยู่  และเรียกว่า "กทัมพิอเจโล" หรือชีเปลื่อยท่ากระทุ่ม  ชื่อเสียงของนายคนนี้ดังไม่ใช่เล่นๆ เพราะทั้งครุฑทั้งนาคก็พากันมาพบปะปรับทุกข์เป็นประจำ  และเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อมีครุฑตนหนึ่งมาขอให้ชีเปลือยช่วยว่า "พระคุณเจ้าท่านคงไม่รู้ว่่ากระผมเมื่อไปจับนาคมักจะจมน้ำตายเพราะไม่มีตีนกบมีแต่ตีนนก  อยากให้พระคุณเจ้าช่วยหลอกถามนาคว่ามีความลับอะไรถึงได้จับยากนัก"
   ชีเปลือยตอบว่า "เอาเรื่องผิดศีลมาให้แต่ไม่เป็นไรข้าหูเบาจะช่วยท่านเอง"
   ไม่นานพญานาคก็ขึ้นมาหาชีเปลือย  ชีเปลือยถามนาคว่า "เฮ้ยพญานาค  ได้ยินมาว่าพญาครุฑจับพวกเจ้าได้ยากมากทำไมถึงเป็นเช่นนั้น"
   พญานาคกลับตอบว่า "มันเป็นความลับข้าหูเบาไม่พอจะบอกท่านหรอก"
   "อ้อ...กลัวว่าข้าจะเอาความไปบอกคนอื่นใช่ไหม  ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น  จริงๆ นะ  ที่ถามนี่เพื่อความรู้ส่วนตัวเอง"






   แต่พญานาคก็ยังยืนกรานคำเดิมและกลับลงน้ำไป
   แล้วชีเปลือยก็ถามแบบนี้อยู่ 2 วันจนถึงวันที่ 3 พญานาคเริ่มใจอ่อนจึงบอกความลับที่ว่านั้นไป
   "พวกข้ากลืนหินลงท้องไปเพื่อให้ตัวหนักเวลาอยู่น้ำ  เมื่อพวกครุฑบินโฉบลงมาก็ยื่นหัวคอยกัด  แต่ถึงจะจับหัวได้แต่จะดึงขึ้นไปได้ช้าเพราะหินที่กลืนลงไปมันถ่วงเอาไว้สุดท้ายครุฑจะจมน้ำตาย"
   "เอ่อ...ฉลาดมาก  แล้วต้องแก้ไขยังไงล่ะ" ชีเปลือยถามต่อ
   "ก็จับห้อยหัวจนสำรอกหินออกมาก่อนนะซิ"
   และแล้วชีเปลือยก็ไม่รักษาสัญญานำเรื่องนี้ไปบอกครุฑ
   ตั้งแต่นั้นมาเวลาครุฑจับนาคกินก็มักจะจำเอาหัวลงเป็นต้นมา  อืม...ไม่อยากคิดถึงชะตากรรมอีตาชีเปลือยหลังจากนี้เลยนะ


เครดิสภาพ

 

ตำนานครุฑสไตล์มลายู

   ตำนานอีกบทหนึ่งของครุฑเชื่อว่าคงไม่มีใครได้ยินกันมากนักเพราะมันเป็นตำนานของมลายูหรือปัจจุบันก็คือแถวๆ ภาคใต้ไปถึงมาลาเซียนั่นแหละ (นึกไม่ถึงว่าแถบนั้นจะมีเรื่องครุฑด้วย)  เรื่องนี้คัดมาจากเรื่องพญาครุฑจากตำนานเมืองไทรบุรีและเมืองปัตตานี  ฉบับหลวงคุรุนิติไพศาล จะแปลกพิสดารพันลึกแบบไหนไปอ่านกันเลยแหละกัน

   
ภาพจากเรื่องปักษาวายุ

   เรื่องมีอยู่ว่า...ที่เกาะแห่งหนึ่งชื่อว่า "ลังกาบุรี" เดิมเป็นที่อยู่ของพวกยักษ์หลังจากที่พระรามปราบยักษ์สำเร็จ (อ้าวมีของอินเดียมาร่วมด้วย!!) เกาะนี้ก็ร้าง  แล้วครุฑตนหนึ่งที่เคยช่วยปราบยักษ์ก็มาสร้างชุมชนนกอาศัยบนเกาะนี้  มีบริวารเป็นนกมากมายก็อยู่กันอย่างปกติ  และแล้วจุดเริ่มต้นของเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อนกอินทรีตัวหนึ่งมาแจ้งข่าวการอภิเษกสมรสของโอรสพระเจ้ากรุงโรมกับพระราชธิดากรุงจีน  ขณะที่กำลังเตรียมถ่ายเวดดิ้ง..เอ้ย..ไม่ใช่ๆๆ  ขณะที่เตรียมตัวเดินทางจากโรมไปกรุงจีน  เมื่อครุฑรู้เรื่องก็โกธรเป็นอย่างมาก (อย่าถามว่าโกธรเรื่องอะไรเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน??) 
   แต่ก่อนที่จะออกไปอาละวาดตามบทได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอัลละฮ์ สุไลมันแล้วกล่าวทูลว่า  "ข้าขอคัดค้านการแต่งของทั้งคู่เนื่องจากไม่มีความเหมาะสมกันอย่างมาก  และไม่ว่ายังไงข้าของเสนอให้นำเรื่องเข้าสู่สภาเพื่อฟังเสียงส่วนใหญ่" 
   พระเจ้าอัลละฮ์ สุไลมันฟังแล้วก็ตรัสตอบว่า "นี่มันงานแต่งอย่าโหนการเมือง  แล้วมันเป็นพรหมลิลิตใครก็ขวางไม่ได้" 
   ฝ่ายครุฑยังไม่แพ้ได้ทูลต่อว่า "ข้าคิดว่ามีกำลังมากพอที่จะขัดขวางทั้งคู่ได้  และขอสัญญาว่าถ้าไม่สำเร็จจะขอเนรเทศตัวเองให้พ้นจากสายตามนุยษ์ไปตลอกกาลและไม่ขอนิรโทษกรรมแน่นอน"  พูดจบก็กางบินไปทางกรุงจีน


 
   ครั้นถึงกรุงจีนพญาครุฑได้จับตัวพระราชธิดาและพระสนมขณะประพาสอุทยานมาไว้ที่เกาะลังกาบุรี  แล้วต่อด้วยการบินไปที่กรุงโรมหมายจะพังกระบวนเรือเจ้าบ่าวเสียให้สิ้น  เมื่อไปถึงก็เรือของพระเจ้ากรุงโรมได้เดิทางมาถึงปากน้ำจักกงแล้ว  เมื่อเห็นดังนั้นก็บรรดาลพายุฝนฟ้าคนองพัดเข้ากองเรือ  ฝ่ายราชามารงมหาวังสาทอดพระเนตรเห็นพญาครุฑก็ทรงแผลงศรแต่ไม่โดน  ส่วนไพร่พลต่างก็พยายามระดมยิงด้วยปืนนานาชนิดราวกับห่าฝน  แต่พญาครุฑก็หาได้เกรงกลัวยังบินโฉบไปมาสร้างลมสร้างคลื่นจนกองเรือระส่ำระส่าย  ราชามารงมหาวังสาเห็นดังนั้นจึงแผลงศรเกิดภูเขาขึ้นมากั้นพายุได้สำเร็จ  แต่เรือก็จมไป 3 ลำ
  
   วันรุ่งขึ้นกองเรือได้เดินทางต่อไปถึงปากแม่น้ำตาไวหรือทวาย  พญาครุฑได้บินโฉบคาบเรือหนึ่งลำ  ใช้เท้าจับเรืออีกข้างละลำบินขึ้นไปบนอากาศแล้วขยี้จนเรือแหลกกลางอากาศ  พวกที่เหลือก็พยายามยิงพญาครุฑแต่ไม่อาจระคายผิวได้
   แล้วพญาครุฑก็พยายามไล่จมเรือของพระเจ้ากรุงโรมไปตลอดทางจนเรือจมหมดทุกลำไม่มีใครรอดชีวิต  ถึงบินกลับเกาะลังกาบุรี  แต่หารู้ไม่ว่าก่อนหน้านั้นราชโอรสได้กดอัลติสกิลพระเอกทันเวลาจึงสามารถเกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งแล้วลอยโต้คลื่นโต้ลมอยู่หลายวัน     และแล้วก็หมดแรงโดนคลื่นซัดมาเกยที่หาดของเกาะลังกาบุรี  ก็เกาะเดียวกับที่อยู่ของครุฑตัวนั้นแหละ  ขณะนั้นพญาครุฑออกไปหากินพอดีและก็พอดีอีกเช่นกันที่พระราชธิดากับพระสนมออกมาเดินเล่นที่ชายหาดได้ยินเสียงร้องไห้ของราชโอรสจึงเข้าไปถามถึงสาเหตุ  พระองค์ก็ทรงเล่าความจริงไป  เมื่อได้ฟังนั้นจึงนำตัวไปซ่อนบนเกาะและดูแลรักษาอย่างดีจนหายเป็นปกติดี  และเมื่อไรที่พญาครุฑไม่อยู่ก็ถึงฉากเลิฟซีนคู่พระคู่นางเป็นซะทุกครั้งไป


  
   วันหนึ่งพระเจ้าอัลละ  สุไลมันทรงเรียกพญาครุฑไปถามไถ่ถึงสิ่งที่สาบานไว้  ฝ่ายพญาครุฑที่มั่นใจเป็นหนักหนาว่าตัวได้จมเรือและทุกคนจมน้ำตายไปหมดแล้วจึงทูลไปว่า "ข้าได้ทำลายกองขันหมากไปหมดสิ้นแล้วและข้าไม่ขอพูดอะไรมากไปกว่านี้เพราะคำพูดของข้าอาจเป็นใช้เป็นคำให้การในชั้นศาล"   พระเจ้าอัลละฮ์ทรงตอบว่า "งั้นก็ดูให้เต็มตาซะ" ว่าแล้วก็ทรงสั่งให้พญาปีศาจ  ฮารมัน ชาห์  นำพลปีศาจร้อยตนไปพาตัวราชโอสรกับราชธิดาและพระสนมมายืนยันตัวตนตรงหน้า  ทำให้พญาครุฑจำนนต่อหลักฐานและกล่าวทูลลาไปตามสัญญา หลังจากนั้นจึงไม่มีใครได้พบเห็นพญาครุฑอีกเลยย!!
  
   จบแล้วสำหรับตำนานครุฑสไตล์มลายูมีหลาหลายชาติทั้งโรม  จีน  อินเดีย  แถมมีพระเจ้าอัลละฮ์เข้าเอี่ยวด้วย อ่านไปอ่านมาก็แปลกดีเหมือนกัน แต่ที่แปลกที่สุดของเรื่องนี้คือพระโอรสกับพระธิดาชื่ออะไร??  ลืมตั้งชื่อตัวพระตัวนางหรือไง??

 เครดิสภาพ