“ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อมันไม่จริง แต่สิ่งที่คุณว่ามันไม่ใช่กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา คุณรับได้ไหม?”
เราๆ ท่านๆ เคยอ่านในบทเรียนมาแล้วถึงการสร้างปิรามิดว่า ใช้แรงงานทาสใช้เครื่องมือโลหะประเภททองแดงในการตัดหิน จากนั้นก็สร้างรางเพื่อเข็นหินขึ้นไปวางในตำแหน่งที่ต้องการ มันก็ไม่มีอะไรผิดผลาดตรงไหนถ้าดูจากรูปคดี.......
เอ้ย!!! ไม่ใช่ๆ โทษทีนึกว่าตัวเองเป็นนักสืบ แต่ก็ไม่ต่างกันหรอกถ้าคิดแบบคนธรรมดาผมว่าเราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนโบราณเข้าสร้างปิรามิดกันยังไง มีแต่ต้องคิดแบบนักสืบในนิยายหรือการ์ตูนที่มักจะใช้เหตุผลหลายๆ ข้อมารวมกันแล้วสรุปคดีตามข้อมูลที่มีอยู่ แต่ ! มันไม่จบแค่นั้นหรอกต้องมองหาหลักฐานที่มายืนยันข้อมูลว่าข้อมูลถูกต้อง ตรวจข้อสรุปว่ามันเป็นไปได้แค่ไหนและเป็นไปได้อย่างไร ไหนจะยังนำสรุปคดีไปหาผู้กระทำผิด หลายครั้งที่หาไปหามาผู้ต้องสงสัยดันไม่ใช่คนร้าย ก็ต้องมานั่งกันคิดอีกว่าเขาใช้วิธีไหนถึงรอดตัวไปได้ ดูมันซับซ้อนจัง !!! เข้าเรื่องดีกว่า วันนี้ขอสืบเรื่องวิธีการสร้างปิรามิดก็แล้วกัน
ก้อนหินแต่ล่ะก้อนเมื่อเทียบกับคนของปิามิกแห่งกีซา |
อย่างที่กล่าวไปแล้วถึงวิธีการสร้างปิรามิดที่รู้กันอยู่เพื่อเป็นการยืนยันว่ามันเป็นไปตามนั้นจริงๆ ผมก็เลยสมมุติให้มันเป็นจริงไปเลย (??) ข้อมูลที่เรามีอยู่ก็คือ มหาปิรามิดแห่งกีซาสร้างด้วยแรงงานทาสใช้เวลาสร้าง 20 ปี ใช้หิน 2.3 ล้านก้อน น้ำหนักรวม 6.5 ล้านตัน หินถูกขนมาเป็นระยะทาง 5.3 กิโลเมตร ฐาน 4 ด้านยาวด้านละ 230 เมตร สูง 146 เมตร ภายในเต็บไปด้วยห้องที่คับแคบและมีชั้นใต้ดินที่ซับซ้อน ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากของนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์เอง มันเหนือการความสามารถของเราที่จะตรวจสอบความถูกต้องก็เลยเอามันมาทั้งหมดนั้นแหละ
จากข้อมูลที่มีอยู่พอจะสรุปได้ว่าหินแต่ล่ะก้อนมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย 2.82 ตัน จากสูตร น้ำหนักรวมหารจำนวนหินทั้งหมด บางก้อนจะหนักน้อยกว่านี้แต่ด้วยกฎของค่าเฉลี่ยทำให้ต้องมีบางก้อนหนักมากกว่า 2.82 ตัน เวลาการสร้างต้องขนหินให้ได้วันล่ะ 315 ก้อน จากสูตร จำนวนหินหารด้วยจำนวนวันใน 20 ปี ถึงการนับวันเดือนปีไม่ตรงกันแต่ไม่มีทางที่จำนวนวันในหนึ่งปีหรือจำนวนวันต่อ 1 รอบต่อการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์น้อยหรือมากไปกว่า 365 และ 366 วันไปหรอกได้ หรือคุณจะเถียงว่า 1 ปีของเขามีวันมากกว่า 1 ปีของเรา !!
พอจะเห็นอะไรที่ขัดแย้งกันหรือยังครับ ? หินหนึ่งก้อนหนัก 2.82 ตันและต้องขนให้ได้วันล่ะ 315 ก้อน นี่ยังไม่รวมการตัดหิน การขัดหิน และการจัดเรียงหินที่ต้องทำไปพร้อมๆ กันอีกนะ หรือคุณจะเถียงว่าเขาขนหินมาไว้ก่อนแล้วตัด ขัด และจัดเรียงที่หลัง มันเหลือเชื่อเกินไปไหม อย่าลืมว่ายุคนั้นไม่มีเครนไม่มีรถลากไม่มีเครื่องตัดหินด้วยเพชร และในตำราหนังสือต่างๆ ก็บอกไว้ด้วยว่าใช้เครื่องโลหะประเภททองแดง เครื่องมือทองแดงประเภทไหนกันที่ตัดหินที่หนักกว่า 2 ตันได้ในเวลาไม่ถึงวัน ? ใครก็ได้มาช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจที !
รูปสลักโมอายไม่รู้ว่าขนหินข้ามทะเลมายังไง |
นี่ผมยังไม่ได้กำหนดค่าเร็วของการเคลื่อนย้ายหินหนัก 2.82 ตัน ในระยะทาง 5.3 กิโลเมตร และภายในหนึ่งวันต้องขนให้ได้ 315 ก้อน โดยใช้กำลังช้าง ม้า วัว ควายและแรงคน ผมต่อให้รวมกันสองแสนชีวิตเลยด้วยมากกว่านาย Herodotus ที่เป็นนักประวัติศาสตร์คิดเอาไว้เสียอีก ไม่เชื่อคุณลองเอาไปคำนวณกันเล่นๆ ดูแล้วจะพบกับความแปลกประหลาดยิ่งกว่านี้เสียอีก !!!
นี่เป็นเพียงการคำนวณคร่าวๆ ด้วยคณิตศาสตร์ของเด็กประถม เห็นได้ชัดว่ามีความขัดแย้งในตัวเองและไม่มีนักโบราณคดีหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมาแก้ไข ซ้ำยังถูกสอนมาแบบผิดๆ โดยพยายามวิจัยเพื่อสนับสนุนความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือปี 2010 ออกมาบอกว่าตัวเลขกรรมกรขนหินน่าจะอยู่ที่สี่พันคนและไม่ใช่แรงงานทาสแต่เป็นชาวนาและกสิกรเพราะช่วงเวลาที่แม่น้ำไนล์ท่วมชาวนาและกสิกรจะว่างงาน แล้วทาสไปไหน? ทำงานสบายๆ แค่ยกข้าวยกน้ำในราชวังงั้นหรือ? ทำไมไม่มาร่วมมือกันสร้าง? เหตุผลนี่ผมพูดได้คำเดียวว่า “ฟังไม่ขึ้น !!!”
ที่ออกมาบอกแนวความคิดสำหรับผมคิดได้เพียงอย่างเดียวคือ “เพื่อสุ่มหาวิธีการที่มนุษย์สร้างอย่างแท้จริง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพยายามปฏิเสธแนวความคิด “พระเจ้าจากอวกาศ” ที่ฟังดูเหมือนคนบ้าแต่เหตุผลของเขากลับมีน้ำหนักกว่านักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และที่สำคัญเหตุผลของเขาก็เอามาจากความขัดแย้งของนักวิชาการต่างๆ ที่ไม่ยอมออกมาแก้ไขนั้นแหละ
หรือว่าพอแก้ไขแล้วมันไปกลับกลายเป็นการสนับสนุนไป??
เมื่อเรื่องนี้แพร่เข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ตแน่นอนว่ามีคนมากหน้าหลายตาพากันสัญนิฐานไปต่างๆ นานา และมีหลายคนที่อธิบายถึงวิธีการสร้างแต่จะต่อท้ายด้วยคำว่า “มั้ง” ออกแนวประมาณว่า “ฉันมั่นใจว่ามันสร้างแบบนี้แต่ไม่แน่ใจว่ามันถูกต้อง” อ่านดูก็งงๆ ดีเหมือนกัน เท่าที่ผมอ่านมาส่วนใหญ่มีคนที่อธิบายวิธีการสร้างได้มีเหตุผลแต่ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบถึงไม่มีการอ้างอิงวิชาการหรือวิทยาศาสตร์เลย แต่นักจานผีวิทยาและผู้เชื่อในแนวความคิดพระเจ้าจากอวกาศกลับอ้างอิงวิชาการและวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา ทุกๆ แนวคิดที่พวกเขาคิดขึ้นมามีวิทยาศาสตร์มารองรับเสมอ
“หรือว่านักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ผู้แสวงหาความจริง แต่เป็นเพียงผู้ยืนยันความเชื่อตามค่านิยม”
จะมาลองดูกันหน่อยไหม !! ว่าแนวคิดของแต่ล่ะฝ่ายเป็นยังไง ใครมีน้ำหนักมากกว่า ! ขอเริ่มจากข้อสัณนิฐานของนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคนธรรมดาทั่วไปที่มีต่อปิรามิดแล้วค่อยไปดูแนวความคิดพระเจ้าจากอวกาศ
ภาพการสร้างปิรามิด |
ข้อสัณนิฐานในการตัดหินเท่าที่อ่านมา
“เจาะรูลึก 15 เซนติเมตรแล้วนำไม้มาตอกลงไปและกรอกน้ำตาม เมื่อไม้ดูดซับน้ำเต็มทีไม้จะพองตัวดันหินให้แตกออก”
อ่านดูมันก็มีความเป็นไปได้แต่ลองเอาวิทยาศาสตร์เอาไปอธิบายซิครับ !
ไม้ชนิดไหนที่สามารถพองตัวเองเมื่อดูดซับน้ำจนหินแตกออก ?? ถ้าเจาะรูเป็นแถวๆ ถี่ๆ ไปตลอดทั้งก้อนแล้วมันจะมีพลังงานพอที่จะดันหินให้แยกจากกันได้งั้นหรือ? ใครเก่งฟิสิกส์มาอธิบายหน่อยเร็ว!! อย่าลืมนะครับว่าหินก้อนหนึ่งมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตัน อย่างปิรามิดแห่งกีซาต้องตัดให้ได้วันหนึ่งถึง 315 ก้อนเพื่อเอาไปเรียงในหนึ่งวัน
ปัญหาคือไม้ชนิดไหนที่พองตัวเร็วขนาดนั้นเร็วกว่าการตัวหินด้วยเครื่องด้วยเพชรที่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นร้อยๆ วัตน์เป็นพลังงาน ถ้างั้นเราเปลี่ยนไปใช้ไม้ที่ว่านั้นตัดหินดีกว่าไหม ! วันหนึ่งตัดได้ตั้ง 315 ก้อน ก้อนก็ไม่ใช้เล็กๆ อย่างน้อยก็หนักกว่าหนึ่งตัน แล้วก็ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าด้วย !! แล้วไหนจะเรื่องที่ใช้อะไรในการเจาะหินเป็นรูลึก 15 เซนติเมตรอีกล่ะ !!
ข้อสัญนิฐานในการขนหินเท่าที่ผมอ่านมา
“สร้างรางเข็นหินขึ้นไปวางตำแหน่งที่ต้องการ”
รถเข็น !! เป็นเครื่องมือง่ายๆ มีสามารถสร้างได้เองมีแค่ล้อ เพลา และพื้นเป็นส่วนประกอบสำคัญ งั้นลองเอาวิทยาศาสตร์กับฟิสิกส์ไปอธิบายซิครับ
ล้อทำจากอะไรถึงรับน้ำหนักเกินหนึ่งตันได้ ? พื้นกว้างยาวเท่าไรและทำจากอะไรถึงบรรทุกของหนัก 2 ตันได้ ? ขนาดรถกระบะทำจากเหล็กมีโช้คอัพ 4 อันที่ภายในบรรจุก๊าซชนิดหนึ่งเอาไว้และยังมีสปริงขนาดใหญ่ที่ยืดหยุ่นแต่แข็งแรงไม่หักง่ายเพื่อรับน้ำหนัก ล้อรถยนต์กระบะแบบสองประตูที่เราใช้ๆ กันอยู่รับได้แค่หนึ่งตันกับอีกนิดหน่อย ถ้าไม่กลัวเครื่องยนต์พังก็สามารถบรรทุกได้ถึงสองตัน!! แต่อย่าลืมว่ารถยนต์มี 4 ล้อ และเครื่องยนต์มีแรงขับกว่าสามพันแรงม้า ใส่พลังงานฟอลซิล (ก็น้ำมันนั้นแหละ!) เสมือนกับมีม้าสามพันตัวลากเราไปยังไงยังงั้น ยังวิ่งขึ้นเนินได้ลำบากเลย !! สรุปได้อย่างเดียวว่าถ้าเขาใช้รถเข็นหินขึ้นไปมันจะต้องแข็งแรงมีแรงขับเคลื่อนสูงกว่ารถยนต์ของเรางั้นหรอ??
แล้วคนโบราณใช้อะไรเป็นแรงขับและแรงขับนั้นต้องมากกว่าเครื่องยนต์ขนาดปกติที่เราใช้หลายเท่านัก เพราะว่าต้องเข็นขึ้นไปวางบนที่สูงถึง 146 เมตร ตามความสูงของปิรามิดแห่งกีซา! นี่ยังไม่รวม Puma Punku วิหารโบราณของชาวอินคาปัจจุบันเป็นประเทศโบลิเวีย สร้างบนยอดเขาสูงถึง 13,000 ฟุต เฉลี่ยหินน้ำหนักมากกว่า 200 ตัน บางก้อนหนักถึง 450 ตัน แม้แต่รถสิบล้อพ่วงยังต้องอาย!! รถเข็นแบบไหนถึงทำได้ถ้าผมมีไว้ใช้ซักคันคงน่าจะสบายเวลาเข็นปุ๋ยสองกระสอบไปใส่ในสวน หนักกระสอบล่ะ 50 กิโลกรัมเอง !!
ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งคนอียิปต์ไม่รู้จักล้อเลื่อนครับ !! ฉะนั้นไม่มีทางรู้จักรถเข็นได้หรอก
ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งคนอียิปต์ไม่รู้จักล้อเลื่อนครับ !! ฉะนั้นไม่มีทางรู้จักรถเข็นได้หรอก
ซ้ายภาพบนดาวอังคาร ขวาภาพสฟิงบนโลก |
นอกจากนั้นก็ยังมีข้อสัญนิฐานที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ผมว่าศาสตร์ไหนๆ ก็อธิบายไม่ได้ทั้งแหละ !! อย่าง “คนโบราณเขามีอะไรที่เราไม่รู้เยอะ” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันจะใช้ศาสตร์ไหนอธิบายดี หรือต้องการจะบอกว่าเขาไปขอให้พวกยักษ์ช่วยงั้นหรอ ? อีกเหตุผลหนึ่งที่ฟังยังขึ้น “ไม่มีอะไรมากหรอกแค่คนโบราณเขาตัวใหญ่กว่าเราเท่านั้นเอง” ก็คงจะแข็งแรงมากขนหินหนัก 2.8 ตันระยะทาง 5.3 กิโลเมตรได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ขนาดรถยนต์ของเรายังสู้ไม่ได้เลยต่อให้ใช้หลายคนก็เถอะ
ลองไปดูข้อสัญนิฐานของแนวคิด “พระเจ้าจากอวกาศ” กันมั้งอย่างที่บอกไปแล้วว่ามีวิทยาศาสตร์มารองรับเสมอ
เขาสัณนิฐานกันว่า “ผู้อยู่เบื้องหลังสร้างปิรามิดคือมนุษย์ต่างดาวที่คนโบราณเรียกว่าพระเจ้า”
ลองเอาวิทยาศาสตร์ไปอธิบาย เทคโนโลยีที่สามารถตัดหินก้อนใหญ่ๆ ได้วันล่ะ 315 ก้อนแต่ล่ะก้อนหนักถึง 2.8 ตัน ขนหินในระยะทาง 5.3 กิโลเมตรในเวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะว่าจะต้องเรียงหินทุกๆ 5 นาที ถ้าช้าไปกว่านี้เวลาในการสร้างจะต้องยืดออกไปอีก มันเป็นเทคโนโลยีที่ยุคปัจจุบันยังต้องอาย !
การตัดหินต้องใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ถึงตัดได้เร็ว ตรง และแม่นยำมาก เพราะแสงเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอและยังมีความเร็วสูงที่สุด ส่วนการขนย้ายน่าจะใช้เทคโนโลยีต้านแรงโน้มถ่วง เพราะสิ่งที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนักคือแรงโน้มถ่วง ถ้าแรงโน้มถ่วงน้อยลงวัตถุจะเบาขึ้น แล้วใครมันมีเทคโนโลยีแบบนี้ได้ล่ะ!!
ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงมันจะสามารถอธิบายการสร้างปิรามิดได้ทุกอย่างทั้งปิรามิดที่สร้างบนยอดเขาสูงกลางป่าที่หินหนักเป็นร้อยตันได้ การตัดหินที่เรียบบางก้อนสามารถบาดจนเป็นแผลได้ การขนหินเป็นตันๆ ระยะทางเป็นกิโลๆ ได้ในเวลาอันน้อยนิด แต่เสียอย่างเดียวปัจจุบันเทคโนโลยีเกี่ยวกับแสงยังไม่เป็นที่รู้จักในคนหมู่มาก เทคโนโลยีต้านแรงโน้มถ่วงก็ยังเป็นแค่ข่าวลือที่ลือออกมาตามสถานที่ทดลองลับๆ ในประเทศมหาอำนาจ
เมื่อเทคโนโลยีเหล่านั้นกลายเป็นที่แพร่หลาย ความลับในการสร้างปิรามิดรวมถึงโบราณสถานหลายๆ แห่งก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมาก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น