31 ต.ค. 2554

         มัมมี่กับความเป็นอมตะของชีวิต 
         เดือนนี้ก็ยังอยู่ที่อียิปต์   ปิรามิดแห่งกีซาก็พูดไปแล้วครั้งนี้มาพูดถึงมัมมี่อันโด่งดังกันบ้าง   อียิปต์มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายว่าถ้าเราเป็นชีวิตเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง   จึงการเกิดการทำมัมมี่เพื่อดองศพรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยไป   จากนั้นก็พันด้วยผ่าลินินสีขาวอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ นั้นแหละ

         มัมมี่   มาจากคำว่า   มัมมียะ   คำในภาษาเปอร์เซียหมายถึง   ซากศพที่ดองจนเป็นสีดำ   แต่ทำไมถึงมาจากเปอร์เซียล่ะ?   หรือว่าที่เปอร์เซียมีการดองศพมาก่อน?   อันนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน!   แต่ที่แน่ๆ ก็คือชาวอียิปต์มีศาสตร์ด้านการแพทย์ที่สูงมากดูได้จากการทำมัมมี่ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์   แบคทีเรีย   ความชื้น   และการผ่าตัด   ซึ่งทุกอย่างต้องพอดิบพอดีกันไม่อย่างงั้นการทำมัมมี่จะไม่สำเร็จ   นึกไม่ถึงว่าความเชื่อแบบลมๆ แล้งๆ เกี่ยวกับการคืนชีพจากความตายจะมีอิทธิพลต่อชาวอียิปต์มากขนาดนี้   ถึงกับต้องทดลองทำร่างไม่ให้เน่าทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นว่าจะกษัตริย์องค์ไหนกลับมามีชีวิตหลังจากตายไปแล้วซักหน่อย   หรือว่าเคยเห็น !!

         ประวัติการเกิดมัมมี่เท่าที่ผมรู้มัมมี่ตัวแรกไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพครับ!   เทพองค์นั้นคือเทพโอซิริสซึ่งเป็นเทพที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดแต่หลายคนอาจจะไม่รู้จักสังเกตได้ไม่ยากครับ   เทพโอซิริสจะทำท่าเอาแขนไขว้บนหน้าอกคล้ายๆ กับกำลังกอดอกมือบนฝาโลงศพที่เก็บมัมมี่   มือข้างหนึ่งถือแส้   ข้างหนึ่งถือคฑา   ตามตำนานเล่าว่าเทพโอซิริสเสด็จลงมาสั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ โดยมีเทพธอทเป็นผู้ช่วย   จากนั้นก็ครองบัลลังค์ต่อจากเทพเกบผู้เป็นบิดา   (แต่บางตำราบอกว่าบิดาของโอซิริสคือเทพรา)

นี่แหละเทพโอซิริสล่ะ

         ขอรวบรัดตัดตอนไปถึงตอนทำมัมมี่เลยและกัน   เรื่องมันเกิดตรงที่เทพเซ็ท(น้องชาย)อิจฉาเทพโอซิริส(พี่ชาย)   จึงวางแผนฆ่าพี่ชายตัวเองและสถาปนาตัวเองเป็นฟาโรห์แทน   เทพีไอซิสผู้เป็นน้องสาวและภรรยาในเวลาเดียวกัน   ทำไมพี่น้องถึงแต่งงานกันได้น่ะหรือ!   เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยวัฒนธรรมของอียีปต์เป็นแบบนี้แหละ   พระองค์รีบตามหาโลงศพที่เทพเซ็ทหลอกให้เทพโอซิริสลงไปนอนแล้วก็ปิดฝาโลงลอยแม่น้ำไนล์   ทำไมการฆ่าเทพมันถึงตายง่ายนักน่ะ!   เมื่อเทพีไอซิสเจอศพของโอซิริสแล้วเทพเซ็ทที่อาฆาตแค้นก็ทำการฉีกร่างออกเป็น  14  ส่วนโยนทิ้งไปทั่วอียิปต์   และแน่นอนว่าศรีภรรยาก็ตามหาตามระเบียบและเมื่อหาเจอชิ้นส่วนครบก็ร่วมมือกับเทพอานูบิสลูกติดของเทพโอซิริสทำการดองศพกลายเป็นมัมมี่ตัวแรกของโลก

         ดูๆ ไปแล้วการเป็นเทพมันก็วุ่นวายเหมือนมนุษย์ไม่ผิดเลยนะมีทั้งลูกติด   ฆ่าฟัน   แย่งอำนาจ   และความตาย

โลงศพของมัมมี่

         การทำมัมมี่เพื่อรอวันคืนชีพนั้นอย่างที่บอกไปว่าต้องอาศัยหลายๆ ศาสตร์รวมกันอย่างเรื่องกายวิภาคศาสตร์   วิชานี้เอาไว้สำหรับการนำสมองออกทางจมูกและล้วงอวัยวะภายในออกมา   ถ้าไม่รู้เรื่องกายวิภาคหรือความรู้เรื่องร่างกายไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าโพรงจมูกมันเชื่อมต่อจนถึงสมอง   ถ้าในยุคปัจจุบันเอ็กเรย์ก็รู้แล้ว   แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าชาวอียิปต์รู้ได้ยังไง ?   ส่วนเรื่องแบคทีเรียกับความชื้น   2   เรื่องนี้มีความสำคัญมาก

         ทำไมนะหรอ?   ก็เพราะว่าขั้นตอนแรกของการทำมัมมี่ก็คือการผ่าท้องด้านสีข้างหรือเอวนั้นแหละ   ขอย้ำว่าผ่าตรงเอว!   แล้วล้วงเอาอวัยวะภายในที่มีแบคทีเรียจำนวนมากที่มักจะเน่าก่อนทำมัมมี่เสร็จจำพวก   ปอด   กระเพาะ   ลำไส้   และตับ   ยกเว้นหัวใจ   ไปใส่ในโถเพื่อรอวันฝังไปพร้อมกัน   และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการดองศพโดยการนำเอาความชื้นออกจากศพให้มากที่สุด   คล้ายๆ กับการทำปลาเค็มบ้านเราแหละ!   ที่เอาเกลือทาแล้วตากแดด   เกลือมีคุณสมบัติทางเคมีคือดูดความชื้นแล้วยิ่งตากแดดด้วยความชื้นจะออกไปเร็วมาก   ในที่สุดปลาเค็มก็จะไม่เน่าแต่จะแห้งและเก็บได้นาน

         พูดถึงมัมมี่ดันไปเรื่องปลาเค็มได้ยังไง?

         พอเอาเครื่องในออกมาตามสูตรครบแล้วก็เอาสมองออกเป็นลำดับต่อไป   โดยใช้ตะขอทองแดงสอดเข้าทางจมูกเข้าไปตีเนื้อสมองจนเละ!  แล้วคว่ำหน้าลงให้สมองเละๆ ไหลออกมา   นึกภาพแล้วสยองแทน!!   แต่มีมัมมี่หลายตัวที่ใช้วิธีเจาะกะโหลกแทนสอดทางจมูก   จากนั้นก็เทน้ำมันดินที่ต้มจนเดือดหรือไม่ก็เรซิ่นใส่ลงกะโหลกแทน   ที่นี้ก็ถึงขึ้นตอนสุดท้ายแล้วนั้นก็คือการนำความชื้นออกจากศพโดยการทาสารที่ชื่อว่า   นาตรอน   ประกอบด้วยสาร   เนทิฟ  โซเดียม  คาร์บอเนต   และ   โซเดียม   ไบคาบอเนต   เจ้าสารพวกนี้มีคุณสมบัติดูดความชื้นเหมือนเกลือนั้นแหละ  

         จำไว้ว่าถ้ามีคำว่า   โซเดียม   มันคือส่วนหนึ่งของเกลือ  

         กลับมาทำมัมมี่กันต่อต้องทาสารที่ว่านั้นให้หมดทั้งภายในภายนอกศพและอวัยวะที่ล้วงออกมาด้วย   โดยเปลี่ยนน้ำยาทุกๆ 3  วันเป็นเวลา  60-70  วันศพก็จะแห้งสนิท   แล้วก็ล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์   ก็แหง่ดิว่ะ! อียิปต์มันมีแม่น้ำซักกี่แห่งกันล่ะ!!   ที่เหลือก็ทาน้ำมันให้ผิวยืดหยุ่น (ไปทำไม?) ตกแต่งตามชอบติดขนตาปลอม   ลูกตาเทียม   วิกผม   ทาเล็บ   อัดพริกไทยเพื่อกันจมูกปี้   ยัดผ้าลินินใส่ปากให้แก้มเต่ง   ก่อนพันผ้าลินินใส่โลงและฝังพร้อมกับสมบัติเพื่อให้ไปใช้ในโลกหน้า

         เอ่อ !!   ลืมไปอวัยวะที่ล้วงออกมาพอมันแห้งสนิทด้วยวิธีเดียวกับศพก็ใส่โถที่ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ  4  องค์บุตรของเทพโฮรัส   ตับบรรจุในโถ  Imsety   เทพเศียรเป็นคน   ปอดบรรจุในโถ  Hapy  เทพเศียรเป็นบาบูน    กระเพาะบรรจุในโถ  Duamutef  เทพเศียรเป็นหมาใน   ลำไส้บรรจุในโถ  Qebehsenuef  เทพมีเศียรเป็นเหยี่ยว   แล้วก็นำไปวาง  4  มุมของสุสานโดยมีรูปสลักเทพอีก  4  องค์คอยปกป้อง   ส่วนของเหลวที่ไหลลงรูที่เจาะตรงปลายเตียงลงโถก็ฝังลงสุสานพร้อมกัน   เป็นอันเสร็จพิธี

         มันเป็นวิทยาการที่สูงมากทั้งการผ่าด้านข้างแล้วหยิบอวัยวะได้อย่างถูกต้องอย่างกับมีกล้องส่อง   ซ้ำยังรู้สาเหตุการเน่าของซากศพว่ามีความชื้นและแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ   แล้วเรื่องความเชื่อตายแล้วฟื้นทั้งๆ ที่ไม่มีกษัตริย์องค์หรือใครฟื้นขึ้นมาจริงๆ เลยซักคนแต่พวกเค้าก็ยังทำสืบเนื่องเป็นพันปี   ไปๆ มาๆ เรื่องนี้เลยถูกนำไปรวมกับแนวคิด   พระเจ้าจากอวกาศ   หรือ   “God  of  space”   ว่าเรื่องพวกนี้มีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าเป็นคนสอน   เพราะว่าอย่างที่บอกไปตอนต้นย่อหน้านี้มันเป็นวิทยาการชั้นสูง   นอกจากนั้นยังมีการพบฟันปลอมถึงจะแค่ตัวหรือสองตัวแต่มันก็ประหลาดเกินไป   ชาวอียิปต์สร้างฟันปลอมได้แล้วหรอ?   แล้วสิ่งที่สำคัญพวกเขาทำอย่างจริงจังไปทำไมถ้าไม่ใช่เคยเห็นคนที่ตายไปแล้วคืนชีพกลับมาจริงๆ !!

         อย่างพึ่งตกใจ !?! ว่ากองทัพมัมมี่จะคืนชีพกลับมาครองโลกอย่างในเรื่อง  เดอะ  มัมมี่รีเทิร์น   เพราะมันเป็นคนล่ะเรื่องเลย

         ถ้าการคืนชีพของชาวอียิปต์คือการเห็นคนที่หน้าตาเหมือนคนที่ตายไปหลายปีกลับมาเดินมากินมานอนอย่างกับมีชีวิตแต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีที่ติ   แน่นอนว่ายุคนั้นมันเป็นไปไม่ได้   ถ้ายุคนี้ก็ว่าไปอย่าง!  

         เทคโนโลยีราวกับปาฏิหาริย์ที่ว่านั้นก็คือการ  โคลนนิ่ง   เพราะร่างที่โคลนนิ่งออกมาจะเหมือนต้นแบบทุกประการทั้งรูปร่าง  หน้าตา  สัดส่วน   แต่ไม่รู้ว่าสมองและความรู้สึกจะเหมือนกันด้วยหรือเปล่า   แล้วที่สำคัญที่สุดนักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งหนูจากซากที่ตายมาแล้ว  16  ปีได้สำเร็จ   ถ้ามีการอนุญาตให้ทดลองสกัดดีเอ็นเอของมัมมี่   กาลเวลาที่ผ่านมานับพันปียังพอหลงเหลือดีเอ็นเออยู่บ้างการคืนชีพจากความตายของชาวอียิปต์ก็จะไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาที่ลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป  

         การที่ฝังสมบัติไปพร้อมกับมัมมี่ให้ไปใช้ในโลกหน้าของอียิปต์   แสดงให้เห็นว่าการคืนชีพที่ว่านั้นไม่ใช่แค่การทำตามพิธีแต่พวกเขาคิดว่าเจ้าของจะกลับมาใช้สมบัตินั้นจริงๆ ลองดูอย่างชาวจีน   ศาสนาพราหมณ์หรือแม้แต่พุทธเองก็มีถวายของให้คนตายไปใช้ในโลกหน้าคล้ายๆ กัน   แต่พอถวายเสร็จก็ทำพิธีลานำของกลับไปกินถ้าเป็นของใช้ก็ถวายให้วัดไปเลย   เห็นได้ชัดว่าคำว่า   โลกหน้า   ของอียิปต์แตกต่างกับชาติอื่นๆ  

         แต่ถ้าพวกเขาเคยเห็นขึ้นมาจริงๆ ปัญหาต่อไปก็คือใครเป็นคนบอกชาวอียิปต์ถึงเรื่องนี้   พระเจ้าในจินตนาการของพวกเขางั้นหรอ?

         เอ่อเรื่องความเป็นอมตะของชีวิตยกไปบทหน้าก็แล้วกัน

13 ต.ค. 2554

วิธีการสร้างปิรามิดที่ผิดพลาด

ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อมันไม่จริง   แต่สิ่งที่คุณว่ามันไม่ใช่กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา   คุณรับได้ไหม?”

         เราๆ ท่านๆ เคยอ่านในบทเรียนมาแล้วถึงการสร้างปิรามิดว่า   ใช้แรงงานทาสใช้เครื่องมือโลหะประเภททองแดงในการตัดหิน   จากนั้นก็สร้างรางเพื่อเข็นหินขึ้นไปวางในตำแหน่งที่ต้องการ   มันก็ไม่มีอะไรผิดผลาดตรงไหนถ้าดูจากรูปคดี.......

         เอ้ย!!!   ไม่ใช่ๆ โทษทีนึกว่าตัวเองเป็นนักสืบ   แต่ก็ไม่ต่างกันหรอกถ้าคิดแบบคนธรรมดาผมว่าเราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนโบราณเข้าสร้างปิรามิดกันยังไง   มีแต่ต้องคิดแบบนักสืบในนิยายหรือการ์ตูนที่มักจะใช้เหตุผลหลายๆ ข้อมารวมกันแล้วสรุปคดีตามข้อมูลที่มีอยู่   แต่ ! มันไม่จบแค่นั้นหรอกต้องมองหาหลักฐานที่มายืนยันข้อมูลว่าข้อมูลถูกต้อง   ตรวจข้อสรุปว่ามันเป็นไปได้แค่ไหนและเป็นไปได้อย่างไร   ไหนจะยังนำสรุปคดีไปหาผู้กระทำผิด   หลายครั้งที่หาไปหามาผู้ต้องสงสัยดันไม่ใช่คนร้าย   ก็ต้องมานั่งกันคิดอีกว่าเขาใช้วิธีไหนถึงรอดตัวไปได้   ดูมันซับซ้อนจัง !!!  เข้าเรื่องดีกว่า   วันนี้ขอสืบเรื่องวิธีการสร้างปิรามิดก็แล้วกัน

ก้อนหินแต่ล่ะก้อนเมื่อเทียบกับคนของปิามิกแห่งกีซา

         อย่างที่กล่าวไปแล้วถึงวิธีการสร้างปิรามิดที่รู้กันอยู่เพื่อเป็นการยืนยันว่ามันเป็นไปตามนั้นจริงๆ   ผมก็เลยสมมุติให้มันเป็นจริงไปเลย (??)   ข้อมูลที่เรามีอยู่ก็คือ   มหาปิรามิดแห่งกีซาสร้างด้วยแรงงานทาสใช้เวลาสร้าง 20 ปี   ใช้หิน  2.3  ล้านก้อน   น้ำหนักรวม  6.5  ล้านตัน   หินถูกขนมาเป็นระยะทาง  5.3  กิโลเมตร   ฐาน  4  ด้านยาวด้านละ  230  เมตร   สูง  146  เมตร   ภายในเต็บไปด้วยห้องที่คับแคบและมีชั้นใต้ดินที่ซับซ้อน   ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากของนักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์เอง   มันเหนือการความสามารถของเราที่จะตรวจสอบความถูกต้องก็เลยเอามันมาทั้งหมดนั้นแหละ 

         จากข้อมูลที่มีอยู่พอจะสรุปได้ว่าหินแต่ล่ะก้อนมีน้ำหนักโดยเฉลี่ย  2.82  ตัน  จากสูตร  น้ำหนักรวมหารจำนวนหินทั้งหมด   บางก้อนจะหนักน้อยกว่านี้แต่ด้วยกฎของค่าเฉลี่ยทำให้ต้องมีบางก้อนหนักมากกว่า  2.82  ตัน   เวลาการสร้างต้องขนหินให้ได้วันล่ะ  315  ก้อน   จากสูตร   จำนวนหินหารด้วยจำนวนวันใน  20  ปี   ถึงการนับวันเดือนปีไม่ตรงกันแต่ไม่มีทางที่จำนวนวันในหนึ่งปีหรือจำนวนวันต่อ  1  รอบต่อการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์น้อยหรือมากไปกว่า  365  และ  366  วันไปหรอกได้   หรือคุณจะเถียงว่า 1 ปีของเขามีวันมากกว่า  1  ปีของเรา !!

         พอจะเห็นอะไรที่ขัดแย้งกันหรือยังครับ ?   หินหนึ่งก้อนหนัก  2.82  ตันและต้องขนให้ได้วันล่ะ  315  ก้อน  นี่ยังไม่รวมการตัดหิน   การขัดหิน   และการจัดเรียงหินที่ต้องทำไปพร้อมๆ กันอีกนะ   หรือคุณจะเถียงว่าเขาขนหินมาไว้ก่อนแล้วตัด   ขัด   และจัดเรียงที่หลัง   มันเหลือเชื่อเกินไปไหม   อย่าลืมว่ายุคนั้นไม่มีเครนไม่มีรถลากไม่มีเครื่องตัดหินด้วยเพชร   และในตำราหนังสือต่างๆ ก็บอกไว้ด้วยว่าใช้เครื่องโลหะประเภททองแดง   เครื่องมือทองแดงประเภทไหนกันที่ตัดหินที่หนักกว่า  2  ตันได้ในเวลาไม่ถึงวัน ?   ใครก็ได้มาช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจที !  
รูปสลักโมอายไม่รู้ว่าขนหินข้ามทะเลมายังไง


         นี่ผมยังไม่ได้กำหนดค่าเร็วของการเคลื่อนย้ายหินหนัก  2.82  ตัน   ในระยะทาง  5.3  กิโลเมตร   และภายในหนึ่งวันต้องขนให้ได้  315  ก้อน   โดยใช้กำลังช้าง   ม้า   วัว   ควายและแรงคน   ผมต่อให้รวมกันสองแสนชีวิตเลยด้วยมากกว่านาย   Herodotus  ที่เป็นนักประวัติศาสตร์คิดเอาไว้เสียอีก   ไม่เชื่อคุณลองเอาไปคำนวณกันเล่นๆ ดูแล้วจะพบกับความแปลกประหลาดยิ่งกว่านี้เสียอีก !!!

         นี่เป็นเพียงการคำนวณคร่าวๆ ด้วยคณิตศาสตร์ของเด็กประถม   เห็นได้ชัดว่ามีความขัดแย้งในตัวเองและไม่มีนักโบราณคดีหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหนออกมาแก้ไข   ซ้ำยังถูกสอนมาแบบผิดๆ โดยพยายามวิจัยเพื่อสนับสนุนความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ   ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือปี  2010  ออกมาบอกว่าตัวเลขกรรมกรขนหินน่าจะอยู่ที่สี่พันคนและไม่ใช่แรงงานทาสแต่เป็นชาวนาและกสิกรเพราะช่วงเวลาที่แม่น้ำไนล์ท่วมชาวนาและกสิกรจะว่างงาน   แล้วทาสไปไหน?   ทำงานสบายๆ แค่ยกข้าวยกน้ำในราชวังงั้นหรือ?   ทำไมไม่มาร่วมมือกันสร้าง?   เหตุผลนี่ผมพูดได้คำเดียวว่า   ฟังไม่ขึ้น !!!”  

         ที่ออกมาบอกแนวความคิดสำหรับผมคิดได้เพียงอย่างเดียวคือ   เพื่อสุ่มหาวิธีการที่มนุษย์สร้างอย่างแท้จริง    หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพยายามปฏิเสธแนวความคิด   พระเจ้าจากอวกาศ   ที่ฟังดูเหมือนคนบ้าแต่เหตุผลของเขากลับมีน้ำหนักกว่านักวิทยาศาสตร์   นักโบราณคดี   และที่สำคัญเหตุผลของเขาก็เอามาจากความขัดแย้งของนักวิชาการต่างๆ ที่ไม่ยอมออกมาแก้ไขนั้นแหละ

         หรือว่าพอแก้ไขแล้วมันไปกลับกลายเป็นการสนับสนุนไป??

         เมื่อเรื่องนี้แพร่เข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ตแน่นอนว่ามีคนมากหน้าหลายตาพากันสัญนิฐานไปต่างๆ นานา   และมีหลายคนที่อธิบายถึงวิธีการสร้างแต่จะต่อท้ายด้วยคำว่า   มั้ง   ออกแนวประมาณว่า   ฉันมั่นใจว่ามันสร้างแบบนี้แต่ไม่แน่ใจว่ามันถูกต้อง   อ่านดูก็งงๆ ดีเหมือนกัน   เท่าที่ผมอ่านมาส่วนใหญ่มีคนที่อธิบายวิธีการสร้างได้มีเหตุผลแต่ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบถึงไม่มีการอ้างอิงวิชาการหรือวิทยาศาสตร์เลย   แต่นักจานผีวิทยาและผู้เชื่อในแนวความคิดพระเจ้าจากอวกาศกลับอ้างอิงวิชาการและวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา   ทุกๆ แนวคิดที่พวกเขาคิดขึ้นมามีวิทยาศาสตร์มารองรับเสมอ

         หรือว่านักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ผู้แสวงหาความจริง   แต่เป็นเพียงผู้ยืนยันความเชื่อตามค่านิยม   

         จะมาลองดูกันหน่อยไหม !!  ว่าแนวคิดของแต่ล่ะฝ่ายเป็นยังไง   ใครมีน้ำหนักมากกว่า !   ขอเริ่มจากข้อสัณนิฐานของนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคนธรรมดาทั่วไปที่มีต่อปิรามิดแล้วค่อยไปดูแนวความคิดพระเจ้าจากอวกาศ

ภาพการสร้างปิรามิด

         ข้อสัณนิฐานในการตัดหินเท่าที่อ่านมา
         เจาะรูลึก  15  เซนติเมตรแล้วนำไม้มาตอกลงไปและกรอกน้ำตาม   เมื่อไม้ดูดซับน้ำเต็มทีไม้จะพองตัวดันหินให้แตกออก 
         อ่านดูมันก็มีความเป็นไปได้แต่ลองเอาวิทยาศาสตร์เอาไปอธิบายซิครับ !  
         ไม้ชนิดไหนที่สามารถพองตัวเองเมื่อดูดซับน้ำจนหินแตกออก ??   ถ้าเจาะรูเป็นแถวๆ ถี่ๆ ไปตลอดทั้งก้อนแล้วมันจะมีพลังงานพอที่จะดันหินให้แยกจากกันได้งั้นหรือ?   ใครเก่งฟิสิกส์มาอธิบายหน่อยเร็ว!!   อย่าลืมนะครับว่าหินก้อนหนึ่งมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตัน   อย่างปิรามิดแห่งกีซาต้องตัดให้ได้วันหนึ่งถึง  315  ก้อนเพื่อเอาไปเรียงในหนึ่งวัน  

         ปัญหาคือไม้ชนิดไหนที่พองตัวเร็วขนาดนั้นเร็วกว่าการตัวหินด้วยเครื่องด้วยเพชรที่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นร้อยๆ วัตน์เป็นพลังงาน   ถ้างั้นเราเปลี่ยนไปใช้ไม้ที่ว่านั้นตัดหินดีกว่าไหม ! วันหนึ่งตัดได้ตั้ง   315  ก้อน   ก้อนก็ไม่ใช้เล็กๆ อย่างน้อยก็หนักกว่าหนึ่งตัน   แล้วก็ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าด้วย !!   แล้วไหนจะเรื่องที่ใช้อะไรในการเจาะหินเป็นรูลึก  15  เซนติเมตรอีกล่ะ !!

         ข้อสัญนิฐานในการขนหินเท่าที่ผมอ่านมา
         สร้างรางเข็นหินขึ้นไปวางตำแหน่งที่ต้องการ
         รถเข็น !!  เป็นเครื่องมือง่ายๆ มีสามารถสร้างได้เองมีแค่ล้อ   เพลา   และพื้นเป็นส่วนประกอบสำคัญ   งั้นลองเอาวิทยาศาสตร์กับฟิสิกส์ไปอธิบายซิครับ  

         ล้อทำจากอะไรถึงรับน้ำหนักเกินหนึ่งตันได้ ?   พื้นกว้างยาวเท่าไรและทำจากอะไรถึงบรรทุกของหนัก  2  ตันได้ ?   ขนาดรถกระบะทำจากเหล็กมีโช้คอัพ  4  อันที่ภายในบรรจุก๊าซชนิดหนึ่งเอาไว้และยังมีสปริงขนาดใหญ่ที่ยืดหยุ่นแต่แข็งแรงไม่หักง่ายเพื่อรับน้ำหนัก   ล้อรถยนต์กระบะแบบสองประตูที่เราใช้ๆ กันอยู่รับได้แค่หนึ่งตันกับอีกนิดหน่อย   ถ้าไม่กลัวเครื่องยนต์พังก็สามารถบรรทุกได้ถึงสองตัน!!   แต่อย่าลืมว่ารถยนต์มี  4  ล้อ   และเครื่องยนต์มีแรงขับกว่าสามพันแรงม้า   ใส่พลังงานฟอลซิล (ก็น้ำมันนั้นแหละ!)   เสมือนกับมีม้าสามพันตัวลากเราไปยังไงยังงั้น   ยังวิ่งขึ้นเนินได้ลำบากเลย !!    สรุปได้อย่างเดียวว่าถ้าเขาใช้รถเข็นหินขึ้นไปมันจะต้องแข็งแรงมีแรงขับเคลื่อนสูงกว่ารถยนต์ของเรางั้นหรอ??

         แล้วคนโบราณใช้อะไรเป็นแรงขับและแรงขับนั้นต้องมากกว่าเครื่องยนต์ขนาดปกติที่เราใช้หลายเท่านัก   เพราะว่าต้องเข็นขึ้นไปวางบนที่สูงถึง  146  เมตร   ตามความสูงของปิรามิดแห่งกีซา!   นี่ยังไม่รวม  Puma  Punku   วิหารโบราณของชาวอินคาปัจจุบันเป็นประเทศโบลิเวีย   สร้างบนยอดเขาสูงถึง  13,000  ฟุต   เฉลี่ยหินน้ำหนักมากกว่า  200  ตัน   บางก้อนหนักถึง  450  ตัน   แม้แต่รถสิบล้อพ่วงยังต้องอาย!!   รถเข็นแบบไหนถึงทำได้ถ้าผมมีไว้ใช้ซักคันคงน่าจะสบายเวลาเข็นปุ๋ยสองกระสอบไปใส่ในสวน   หนักกระสอบล่ะ  50  กิโลกรัมเอง !!  


       ลืมบอกไปเรื่องหนึ่งคนอียิปต์ไม่รู้จักล้อเลื่อนครับ !!  ฉะนั้นไม่มีทางรู้จักรถเข็นได้หรอก

ซ้ายภาพบนดาวอังคาร  ขวาภาพสฟิงบนโลก

         นอกจากนั้นก็ยังมีข้อสัญนิฐานที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์   ฟิสิกส์   ผมว่าศาสตร์ไหนๆ ก็อธิบายไม่ได้ทั้งแหละ !!   อย่าง   คนโบราณเขามีอะไรที่เราไม่รู้เยอะ   ผมก็ไม่รู้เหมือนกันจะใช้ศาสตร์ไหนอธิบายดี   หรือต้องการจะบอกว่าเขาไปขอให้พวกยักษ์ช่วยงั้นหรอ ?   อีกเหตุผลหนึ่งที่ฟังยังขึ้น   ไม่มีอะไรมากหรอกแค่คนโบราณเขาตัวใหญ่กว่าเราเท่านั้นเอง   ก็คงจะแข็งแรงมากขนหินหนัก  2.8  ตันระยะทาง  5.3  กิโลเมตรได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง   ขนาดรถยนต์ของเรายังสู้ไม่ได้เลยต่อให้ใช้หลายคนก็เถอะ

         ลองไปดูข้อสัญนิฐานของแนวคิด   พระเจ้าจากอวกาศ   กันมั้งอย่างที่บอกไปแล้วว่ามีวิทยาศาสตร์มารองรับเสมอ
         เขาสัณนิฐานกันว่า   ผู้อยู่เบื้องหลังสร้างปิรามิดคือมนุษย์ต่างดาวที่คนโบราณเรียกว่าพระเจ้า  
         ลองเอาวิทยาศาสตร์ไปอธิบาย   เทคโนโลยีที่สามารถตัดหินก้อนใหญ่ๆ ได้วันล่ะ  315  ก้อนแต่ล่ะก้อนหนักถึง  2.8  ตัน   ขนหินในระยะทาง  5.3  กิโลเมตรในเวลาไม่ถึง  5  นาที   เพราะว่าจะต้องเรียงหินทุกๆ  5  นาที   ถ้าช้าไปกว่านี้เวลาในการสร้างจะต้องยืดออกไปอีก   มันเป็นเทคโนโลยีที่ยุคปัจจุบันยังต้องอาย !   

         การตัดหินต้องใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ถึงตัดได้เร็ว   ตรง   และแม่นยำมาก   เพราะแสงเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอและยังมีความเร็วสูงที่สุด   ส่วนการขนย้ายน่าจะใช้เทคโนโลยีต้านแรงโน้มถ่วง   เพราะสิ่งที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนักคือแรงโน้มถ่วง   ถ้าแรงโน้มถ่วงน้อยลงวัตถุจะเบาขึ้น   แล้วใครมันมีเทคโนโลยีแบบนี้ได้ล่ะ!!

         ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงมันจะสามารถอธิบายการสร้างปิรามิดได้ทุกอย่างทั้งปิรามิดที่สร้างบนยอดเขาสูงกลางป่าที่หินหนักเป็นร้อยตันได้   การตัดหินที่เรียบบางก้อนสามารถบาดจนเป็นแผลได้   การขนหินเป็นตันๆ ระยะทางเป็นกิโลๆ ได้ในเวลาอันน้อยนิด   แต่เสียอย่างเดียวปัจจุบันเทคโนโลยีเกี่ยวกับแสงยังไม่เป็นที่รู้จักในคนหมู่มาก   เทคโนโลยีต้านแรงโน้มถ่วงก็ยังเป็นแค่ข่าวลือที่ลือออกมาตามสถานที่ทดลองลับๆ ในประเทศมหาอำนาจ

         เมื่อเทคโนโลยีเหล่านั้นกลายเป็นที่แพร่หลาย   ความลับในการสร้างปิรามิดรวมถึงโบราณสถานหลายๆ แห่งก็อาจจะถูกเปิดเผยออกมาก็ได้




9 ต.ค. 2554

ปิรามิด พีรามิด และปีรามิด

         ถ้าผู้ถึงปิรามิดก็คงนึกถึงประเทศอียิปต์   ก็ไม่แปลกที่จะคิดอย่างงั้นไม่ว่าจะสื่อไหนๆ ก็พากันประโคมข่าวปิรามิดที่อียิปต์ทั้งนั้น   ทั้งที่จริงๆ มันมีอยู่ทั่วโลกทั้งอเมริกาเหนือ  กลาง  ใต้   ตะวันออกกลาง   เอเชียอาคเนย์   แอฟริกา   ในแต่ละแห่งก็มีลักษณะแตกต่างกันไปจุดประสงค์การใช้งานก็ต่างกัน   ฉะนั้นอย่าคิดว่าปิรามิดสร้างเอาไว้เก็บพระศพของฟาโรห์เพียงอย่าเดียว  

         นักโบราณคดีสรุปว่าต้นแบบของปิรามิดมาจากภูเขา   ถ้าตัดเรื่องฐาน 4 มุมกับยอดแหลมออกไปมันก็ดูเหมือนภูเขาอยู่เหมือนกัน   แนวมาคิดนี้น่าจะมาจากภูเขาของตำนานเทพต่างๆ   ทั้งเขาโอลิมปัสของกรีก   เทือกเขาไกรลาสของอินเดีย   เทือกเขาแอสดิสในอเมริกาใต้   และอีกเยอะแยะ   ครับ !   มันก็จริงของเขาถ้าดูกันที่ลักษณะแต่พอลองมองกันลึกๆ แล้วมันชักจะไม่ใช้เสียแล้ว

         นักลึกลับศาสตร์และพวกจานผีวิทยาไม่คิดอย่างนั้นครับ   เขาคิดว่าปิรามิดทุกแห่งถูกสร้างเพื่อมนุษย์ต่างดาวที่สมอ้างเป็นพระเจ้า   บางชาติระบุว่าการสร้างปิรามิดใช้ศาสตร์ของพระเจ้าเพราะว่าแม้แต่เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันยังสร้างได้อย่างยากเย็น   แล้วในยุคคานดีดคานงัดจะทำได้อย่างไร   แต่เหตุผลจะเป็นอะไรคงต้องรอเวลาพิสูจน์ก่อนอื่นลองมาดูปิรามิดที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลกดีกว่า

ซิกกูรัต

         อิรัค   เรียกว่า   ซิกกูรัตหรือซิกกูแรต   ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือที่ๆ เดียวกันแค่แปลตามอักษรต่างกัน   มันเป็นสิ่งก่อสร้างทรงปิรามิดแบบ  step  หรือที่เรียกันสั้นๆ ว่าแบบ   ขั้นบันได   มียอดตัดขวางหลายคนให้ความเห็นว่ามันอาจเป็นที่จอดยานของพระเจ้า   สร้างโดยชาวสุเมเรี่ยนในดินแดนซูเมอร์โบราณ

ปิรามิดซัคคาราหรือปิรามิดโจเซอร์

         อียิปต์   ปิรามิดแบบขั้นบันไดที่ซัคคาราหรืออีกชื่อหนึ่ง   ปิรามิดโจเซอร์   โดยตั้งตามชื่อของฟาโรห์โจเซอร์   ก็คนสร้างเองนั้นแหละโดยมีอิมโฮเทปเป็นที่ปรึกษา   แต่ล่ะด้านมีความเอียง 51 องศา   ถือว่าเป็นปิรามิดที่ลาดเอียงที่สุดในอียิปต์   แต่น่าแปลกตรงที่เป็นปิรามิดเดียวในอียิปต์ที่เป็นแบบขั้นบันได

มหาปิรามิดแห่งกีซา

         มหาปิรามิดแห่งกีซาที่อียีปต์เหมือนกัน   หรืออีกชื่อหนึ่ง   ปิรามิดคูฟู   ที่มีรูปสลักสฟิงซ์ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีประกอบด้วยปิรามิด 3 ลูกใหญ่    ผิวทุกด้าน (เคย) ตัดเรียบ   มีความแปลกที่หลายคนไม่รู้ตรงที่สิ่งก่อสร้างในอาณาบริเวณเดียวกันมีอายุถึงหมื่นสองพันปี   ทั้งๆ ที่ตัวปิรามิดกีซากับปิรามิดขนาดเล็กที่อยู่รายรอบมีอายุแค่สี่พันถึงห้าพันปีเอง   ทำให้คิดกันว่าน่าจะมีการสร้างทับสิ่งก่อสร้างเดิมและยังมีข่าวลือเรื่องอุโมงค์ลับใต้ดินก็เลยมีชื่อเสียงจนโด่งดังขึ้นมา

         เม็กซิโก   มีอยู่หลายที่ที่น่าสนใจอย่าง  ชิเซ่น-อิทซา,มองเต   อัลบาน,วิหารในเมืองพาเลงกอ   ส่วนใหญ่อยู่บนเขาสูง   แล้วไปสร้างทำไมบนเขาสูง?   ผมก็อยากรู้เหมือนกัน?   และยังมีการจงใจต่อเติมให้สูงเพิ่มขึ้นอีกทำให้แนวความคิดที่ว่า   ปิรามิดถูกขึ้นเพื่อให้มองเห็นจากทางอากาศชัดเจนขึ้น

          “Piramide  Tepanapa”   ปิรามิด  เทปานาปา   ไม่แน่ใจว่าอ่านถูกหรือเปล่านะ   เป็นปิรามิดที่สูงถึง 200 ฟุต  ก็ประมาณ  60  เมตร   อยู่ใกล้ๆ กับภูเขาไฟ  โปโปเค  เตเพเทิล  หรือ  เอล  โปโป   ตามตำนานภูเขาไฟแห่งนี้เป็นที่เควซซัลโคเคิลเทพผู้ยิ่งใหญ่ของอินคาเสด็จลงมาสู่พื้นโลกครั้งแรก   บนยอดปิรามิดมีวิหารประกอบพิธีกรรมลึกลับ   แต่พอสเปนเข้ามาครองมันได้เปลี่ยนโบสถ์คริสต์แทน

         ปิรามิด  เทรส  ซาโปเทส   ที่เม็กซิโกโบราณสถานของชาวออลเม็คสร้างเมื่องประมาณสามพันกว่าปีก่อน   เป็นปิรามิดดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในเมโสอเมริกา   และมันก็เหมือนปิรามิดส่วนใหญ่ที่มีความแปลกอยู่ไม่ 1 อย่างก็ 2 อย่าง   ปิรามิดลูกนี้ดูเหมือนจะแปลกที่สุดเพราะว่าออลเม็คคืออารยธรรมของชาวผิวดำที่แอฟริกา   พวกเราถูกสอนมาว่า   ชาวผิวดำหรือนิโกรนั้นขึ้นฝั่งอเมริกาในยุคค้าทาส   ก่อนหน้านั้นย่อมไม่มีนิโกรอยู่แน่ๆ   ก็ต้องคิดกันต่อไปว่าทำไม?

         ปิรามิดและวิหารสุริยเทพ   ของชาวอินคาที่เมืองติโอติฮัวกัน   จอร์น   มิเชล   กล่าวไว้ในงานเขียนว่า   วิหารสุริยเทพใช้หน่วยวัดเดียวกันกับ  สโตนเฮนจ์  ในอังกฤษ

         เปรู   วิหารแห่งพระอาทิตย์ของชาวโมเช่   สร้างด้วยอิฐดินเผานับสิบล้านก้อน   ใกล้ๆ กันในหุบเขาโมเช่มีปิรามิดดินเผาทรงสูงชื่อว่า  Huace  del  luna   เป็นสำหรับบวงสรวงเทพเจ้า   ตามตำนานบอกว่าเทพเจ้าองค์นั้นทรงนั่งเรือสีทองมา

         โบลิเวีย   Akapana  เป็นแบบ  platform  ในเมืองเทียฮัวนาโค   คะเนอายุไว้ประมาณสามพันห้าร้อยปี   เป็นบอกว่าสถาปัตยกรรมเหมือนปิรามิดที่อียิปต์

         เกาะชวา   Cani Sukuh Pyramid   เห็นบอกว่าสถาปัตยกรรมคล้ายกับอเมริกาใต้
โยนากุนิ

         หมู่เกาะริวกิว   ที่ญี่ปุ่นโบราณสถานใต้น้ำ   โยนากุนิ   ที่มีทางลาดเรียบและแนวกำแพง   แต่ยังเถียงกันอยู่ว่าเป็นฝีมือธรรมชาติหรือมนุษย์สร้าง   อายุอานามก็ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันปีราวๆ ยุคแอตแลนติสนั้นแหละ

         จีน   ปิรามิดขาวแห่งเมืองซีอานตั้งอยู่ใกล้กับสุสานจิ๋นซีฮ้องเต้หรือฉินสื่อหวงนั้นแหละ   นักสำรวจชาวเยอรมัน   ฮาร์ทวิก  ฮาวดอร์ฟ   เขียนไว้ในงานเขียนของตัวเองว่ายังมีปิรามิดดิเหนี่ยวอีกพันๆ ลูกในแผ่นดินจีน   ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปสำรวจ

         กรีซ   ปิรามิดลูกเล็กๆ ของเฮลลินิกอนก็ชาวกรีกโบราณนั้นแหละ   เป็นปิรามิดที่ยังสร้างไม่เสร็จเหลือต่อเต็มอีก 10 ฟุตและเก่าแก่กว่าปิรามิดที่อียิปต์ซะอีก

         หมู่เกาะคานารี   ปิรามิดแห่งกุยมาร์   นักสำรวจชื่อว่า  ธอร์  เฮเยอรืดาห์ล   บอกว่ามันเป็นปิรามิดที่คล้ายกับเปรูและโบลิเวีย   ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะได้รับอิพธิพลเหล่านั้นมาได้เนื่องจากอยู่คนละซีกโลกและยังมีสภาพภูมิศาสตร์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกมาเป็นตัวคั่น

         อเมริกา   ปิรามิดโบราณที่คาโฮเกียรัฐอิลลินอย   ทำมาจากดินเหนียวคาดว่ายังมีปิรามิดแบบนี้หลงสำรวจอยู่อีกมาก

         ข้อมูลที่ผมได้มามันก็มีเท่านี้แหละ   ซ้ำยังหารูปปิรามิดได้ไม่หมดอีกด้วย   นั้นก็เพราะปิรามิดหลายแห่งไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว   ก็เลยหารูปแทบไม่ได้มีแต่รูปที่หลายๆ คนเคยเห็นมาแล้ว   ครั้งนี้อัพแค่นี้ก่อนก็แล้วกันครั้งหน้ามาดูวิธีการก่อสร้างและสาเหตุการสร้างปิรามิด   ถ้าคุณคิดว่าคุณรู้แล้ว !   สิ่งที่คุณรู้มันอาจจะไม่จริงก็ได้   วิทยาศาสตร์มักจะทำลายความเชื่อทุกความเชื่อแม้แต่ความเชื่อของวิทยาศาสตร์เอง  


th.wikipedia.org/wiki/พีมิดอียิปต์ 

1 ต.ค. 2554

ความลึกลับของอารยะธรรมระหว่างประเทศ


แอตแลนติส


         ครั้งนี้ขอนอกเรื่องออกมาหน่อย   พักเรื่องเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาวไว้ก่อน   เดี๋ยวสติจะแตกเสียก่อน !!   หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าในสมัยโบราณทวีปหลายๆ ทวีปต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ! ไม่ลึกซึ้งธรรมดา   แต่มันลึกซึ้งมากๆ   จนอาจจะเป็นประเทศเดียวกันเลยก็ว่าได้   ทั้งๆ ที่อยู่ห่างกันคนละทวีป   อะไรเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ?   การค้าขาย   การเดินทาง   หรือพระเจ้าที่เขานับถือ !!

         นักโบราณคดีเชื่อว่าดินแดนอเมริกากลางกับอียิปต์นั้นเคยติดกันมาก่อน   เพราะมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันมาก   หรือไม่ก็มีรากเง้ามาจากที่ๆ เดียวกัน   แล้วยังจะมีดินแดนที่เจริญก่อนหน้าอียิปต์กับมายาชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกากลางที่มีชีวิตอยู่เมื่อหกพันปีก่อนอีกหรือ ?   มีครับ   ดินแดนแห่งนั้นคือ   แอตแลนติส   อนุทวีปที่เจริญที่สุดในยุคนั้นปรากฏในบันทึกของเพลโต   แต่เรามีข้อมูลของแอสแลนติสน้อยมากเนื่องจากว่ามันจมลงกลางทะเลมากว่า 12,000 ปีมาแล้ว   ข้าวของเครื่องใช้ก็พากันจมลงก้นทะเลกันหมดและที่สำคัญตำแหน่งที่ตั้งของแอสแลนติสอยู่บนรอยต่อของเปลือกโลกพอดิบพอดี   ทำให้การดำน้ำลงไปงมสิ่งของขึ้นมายากจนเป็นไปไม่ได้เพราะบริเวณนั้นมีกระแสน้ำที่รุนแรงและเหวใต้ทะเลที่พร้อมจะดึงคุณลงสู่ใต้เปลือกโลกได้ทุกเวลา   ผมคิดว่าคงจะไม่มีโลกใต้พิภพให้คุณหล่นตุ้บ ! แล้วได้รับการช่วยเหลือหรอกนะ
ตำแหน่งที่คาดว่าน่าจะเป็นแอตแลนติส

         หลายๆ คนต่างพยายามหาเหตุผลต่างๆ มายืนยันว่าแอสแลนติสมีอยู่จริงและชาวมายาเคยมีความสัมพันธ์กับแอสแลนติส   แต่เหตุผลดันไปเป็นเรื่องพลังจิต   นั่งญาณ   แบบเดียวกับมนุษย์ต่างดาวยังไงอย่างงั้น   นอกจะไม่มีใครเชื่อแล้วยังกลายเป็นเรื่องเหลวไหลไปด้วยซ้ำ !   ส่วนเหตุผลด้านอื่นๆ มีแต่การผูกเรื่องคล้ายกับการแต่งนิยาย   ขาดทั้งหลักฐานและเหตุผล   หรือไม่ก็ไปหยิบข้อมูลเพียงกระพีเดียวมาสาธยายเสียยืดยาว   และด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลผมเลยแสดงเหตุผลที่มีเหตุผล (ยังไง ?)   เอาเป็นว่าไปอ่านย่อหน้าต่อไปเลยดีกว่า

         ตำนานน้ำท่วมโลก   ตำนานนี้ไม่ได้มีแต่ในคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นแต่มันยังปรากฏในหลายๆ ท้องถิ่นทั้ง   ยุโรป   ตะวันออกกลาง   แอฟริกา   อินเดีย   และชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ของอเมริกา   ข้อมูลที่ปรากฏใน 5 ดินแดนที่มีหลักฐานว่าเคยเจริญรุ่งเรื่องในอดีต(และปัจจุบัน !)   ส่อเค้าว่าตำนานนี้ไม่ใช่นิยายเสียแล้ว   ส่วนเรื่องรายละเอียดเอาไว้จะเอามาลงให้ดู   ประเด็นอยู่ตรงที่ตำนานน้ำท่วมโลกอาจจะมาจากชาวบ้านที่รอดจากการล่มสลายของแอตแลนติสด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติเล่าจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน   สิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คือภาษาครับ   ภาษาของชาวพื้นเมืองหลายเผ่ามีความคล้ายคลึงกันมาก   เชื่อไม่เชื่อลองอ่านย่อหน้าต่อไปและกัน

·       ภาษากรีกคำว่า  ทาลาสซา  แปลว่า   ทะเล
·       ภาษาชาวมายาคำว่า  ทาลแลก  แปลว่า   น้ำ   แม่น้ำ   และของเหลว
·       ภาษาชาวแอ็สเต็กคำว่า  ทลาล็อก   แปลว่า   เทพเจ้าแห่งทะเล

         นอกจากนั้นยังทีคำที่คล้ายๆ เหมือนมาจากรากศัพท์เดียวกัน

·       คำว่า  มานิตู  ในภาษาอินเดียนแดง   คล้ายกับคำว่า  มานู  ในภาษาฮินดู  ซึ่งแปลว่า   วิญญาณอันยิ่งใหญ่
·       คำว่า  ทีโอ  ในภาษาขาวแอ็สเต็ก   คล้ายกับคำว่า  ทีออส  ในภาษากรีก   ซึ่งแปลว่า   เทพเจ้า
·       คำว่า  อาร์กิ  ในภาษาบาสค์   คล้ายกับคำว่า  อริยกะ  ในภาษาสันสกฤต   ซึ่งมีความหมายเดียวกันในเชิงนามธรรมคือ   ผู้ฉลาด   ผู้พบทางรุ่งโรจน์
·       คำว่า  ทีเป็ก  ในภาษาแอ็สเต็ก   คล้ายกับคำว่า  ทีเป  ในภาษาตุรกีสถาน(ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย   อีกส่วนหนึ่งเป็นของจีน)   ซึ่งแปลว่า   ภูเขา
·       คำว่า  มาลโก  ในภาษาอินเดียนแดง   คล้ายกับคำว่า  มาลิก  ในภาษาอาหรับและยังไปคล้ายกับคำว่า  มีเล็ก  ในภาษาฮิบรู   ซึ่งทั้งหมดแปลว่า   พระราชาผู้เป็นใหญ่
·       คำว่า  โปตามอส  ในภาษากรีก  คล้ายกับคำว่า  โปโตแมก  ในภาษาอินเดียนแดงในเดลาแวร์   และยังไปคล้ายกับคำว่า  โปติ  ในภาษาอินเดียนแดงในบราซิล
·       คำว่า  โอกา  ในภาษาอินเดียนแดงเผ่ากัวรานิ   คล้ายกับคำว่า  ไอกา  ในภาษากรีกที่แปลว่า   บ้าน
·       คำว่า  อะมะ  ในภาษาอินเดียนแดงเผ่ากัวรานิ  หมายถึง   น้ำ   คล้ายกับคำว่า  อะเมะ  ในภาษาญี่ปุ่น   หมายถึง   ฝน
·       คำว่า  รูนา  ในภาษาเดิมของพวกอินคา   คล้ายกับคำว่า  เริน  ในภาษาจีน   วึ่งแปลว่า   บุคคลหรือผู้ชาย
·       คำว่า  แอนติ  ในภาษาอียิปต์โบราณ   หมายถึง   หุบเขาในที่สูง   คล้ายกับคำว่า  แอนดิ  ในภาษาเดิมของพวกอินคา   ที่หมายถึง   แนวสันเขา

         ภาษาของอินเดียนแดงในแถบอเมริกากลางออกเสียงคล้ายกับภาษาเวลส์ในอังกฤษมาก   เช่น  
        
         เรือ   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   เคอร์วิก   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   คูริก
         พาย   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   รีฟ   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   รี  
         เก่าหรือแก่   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   เฮน   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   เฮอร์  
         สีกรมท่า   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   แกลส   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   แกลส
         ขนมปัง   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   บาร์รา   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   บารา  
         นกกระทายู   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   ชุกจาร์   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   ชุกา
         ศีรษะ   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   เพ็น   ในภาษาอินเดียนแดงอ่านว่า   แพน
         สำคัญ   ในภาษาเวลส์อ่านว่า   มอวส์   ในภาษาอินเดียบนแดงอ่านว่า   มาฮ์

         นี่ก็เป็นความแปลกทางอารยะธรรมชนพื้นเมืองที่อยู่ห่างไกลแต่ดันมีภาษาที่พยัญชนะและสระเหมือนกัน   หลายๆ คนต่างอ้างว่า   ก็พวกเขาอาจจะมีการติดต่อสื่อสารหรือไม่ก็ไปมาหาสู่กัน   ก็ต้องมีคำที่เหมือนหรือคล้ายกันบ้าง   แต่อย่าลืมนะครับในอดีตการเดินทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบันที่นั่งเครื่องบิน  4-5 ชั่วโมงก็ไปได้ครึ่งโลก   การเดินทางแค่หมู่บ้านต่อหมู่บ้านก็เดินกันเป็นวันๆ เผลอๆ จะหลงทางกลางป่าซะด้วย   แค่หาอาหารกินไปวันๆ ก็ยากเต็มทีเพราะไม่มีอาหารแช่แข็งวางขายตามซุปเปอร์มาเก็ต   ฉะนั้นคนในยุคนั้นเขาไม่เดินทางไกลๆ กันเท่าไหร่   มันนานเป็นปีๆ กว่าจะได้กลับบ้าน (เผลอๆ จะไม่ได้กลับมาอีกเลย)

         ถ้าแอสแลนติสมีจริงและยังอาณาบริเวณใหญ่ถึงขั้นเรียกว่า   อนุทวีป   หรือทวีปขนาดเล็ก   แล้วจู่ๆ มันก็จมพรวนเดียวสู่ก้นทะเลเสียอย่างนั้น   มันเป็นไปได้หรือ?   มีหลายคนไม่เชื่อเพราะว่าเราการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันสอนไว้ว่า  แผ่นเปลือกโลกของเราขยับที่ละเล็กละน้อย  กว่าจะเห็นผลก็ต้องเป็นหมื่นเป็นแสนปี   ประกอบกับความเชื่อที่ว่า   สิ่งที่อาจารย์พูดคือสิ่งที่ถูกต้อง   จนลืมไปว่าครูหรืออาจารย์ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีวันผิดผลาดกันได้ !?!   ก็เลยไม่มีใครกล้าแสดงความคิดนอกกรอบ   อืม !   ฉะนั้นเลยไม่มีใครเชื่อว่าทวีปหนึ่งทวีปจะจมลงเพียงชั่วเวลาอันน้อยนิด   ถ้าอยากต้องการหลักฐานที่มีน้ำหนักมากขึ้นก็ไม่มีปัญหา   อ่านย่อหน้าต่อไปได้เลย !!

         เทือกเขาแอสดิส   สถานที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างของชนเผ่าต่างๆ แต่นักวิชาการไม่เชื่อว่ามันจะสูงชะรูดมาแต่โบราณหรอกนะ   แต่มันพึ่งจะสูงขึ้นมาเมื่อหนึ่งหมื่นสองพันปีมานี้เอง   ตรงกับยุคแอสแลนติสพอดี !   นอกจากนั้นบนยอดเขายังพบท่าเรือโบราณ   ซากสัตว์ทะเล   ไหนจะตำนานกษัตริย์ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้   ทำให้มันมีความเป็นไปได้ว่าในอดีตมันคือชายฝั่งทะเลของอเมริกาใต้   และเป็นได้ไหมว่ามันยกตัวสูงขึ้นในทันทีเพราะแอตแลนติสจมลงในทันใด   ปกติการจมลงและสูงขึ้นของแผ่นดินมักจะมาควบคู่กันเสมอคือ   ถ้าฝั่งหนึ่งจมลง   อีกฝั่งหนึ่งก็สูงขึ้น   แต่มันจะเป็นตรงไหนก็เท่านั้นแหละ !?!   แต่บางครั้งก็จมอย่างเดียวไม่มีโผล่ !?!
น้ำตกไนแกงการา

         อีกตัวอย่างหนึ่งครั้งนี้ไปที่หุบเขาไนแองการาที่เก่าแก่ถึง  12,500  ปี   แล้วมันก็เช่นเดียวกับเทือกเขาแอสดิสไม่สูงมาแต่โบร่ำโบราณ  แต่พึ่งสูงเมื่อหมื่นกว่าปีมานี้เอง   พูดง่ายๆ ว่ามันสูงรวดเดียว  19,000 ฟุต   การที่อยู่ๆ ก็สูงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นก็เพราะว่าต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกจมลงอย่างฉับพลับ

         ทั้งภาษาในดินแดนห่างไกลแต่คล้ายคลึงกัน   ทฤษฎีการยกตัวสูงขึ้นจนกลายเป็นภูเขา   ตำนานน้ำท่วมโลกที่มีอยู่ในทุกชนชาติ   ไหนจะยังเรื่องทวีปขว้างกั้นไม่ให้กระแสน้ำอุ่นไหลขึ้นขั้วโลกเหนือในทะเลอาร์คติคอะไรนั้นที่ผมยังอ่านไม่เข้าใจอีก !!   ลองคิดดูเองก็แล้วกันว่ามันชี้ไปในทางไหน ?  

         แต่ถ้ามันกลับกันล่ะ !   ภัยพิบัติที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายไม่ได้มาจากใต้โลก (การเคลื่อนตัวของลาวาใต้เปลือกโลกทำให้เกิดแผ่นดินไหว) แต่มาจากบนฟ้า (อุกาบาต !!!)    
……THE   END……..

ข้อมูล     จากหนังสือชื่อว่า   "ตินแดตอาถรรพ์   สามเหลี่ยนมังกรปีศาจ"  ชองชาล์  เบอร์ลิตซ์