4 ก.ย. 2557
การทดลองฟิลาเดลเฟีย ก้าวแรกสู่การล่องหน (invisible)
หยุดเขียนเรื่องลึกลับไปซะนานสาเหตุก็เพราะไม่มีกะจิตกะใจเขียนต่อและไม่มีข้อมูลใหม่ๆ มาให้เขียน จะก็อปของคนอื่นมาลงก็ดูจะยังไงอยู่แถมยังมีแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ คนอื่นเขาเขียนมาหมดและ แต่บังเอิญไปค้นเจอหนังสือมาเล่มหนึ่งที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับจานบินที่ไม่เจอในโลกอินเตอร์เน็ตเท่าไรเลยเอามาสรุปลงในบล็อกนี่ซะเลย แต่ถ้าถามว่าไอ้เรื่องราวที่เขียนเอามาลงเนี่ยมันจริงหรือเปล่า?? นายเจซีคนนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน มันอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องเท็จและเรื่องจริง กลุ่มคนที่ชอบกุเรื่องพันนี้ขึ้นมาก็มีอยู่ทั่วโลกซะด้วยซิอย่างในบรรดาคลิป UFO เห็นๆ กันอยู่ก็ปลอมซะ 90 เปอร์เซ็นและ แล้วการตรวจสอบข้อมูลก็ยากมากองค์กรที่พูดกันก็แทบไม่เคยได้ยิน แต่ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็ไม่มีองค์กรไหนยอมพูดกันหรอกเพราะกลัวคนจะแตกตื่นกัน
รู้จักการทดลองที่ชื่อว่า "ฟิลาเดลเฟีย" ไหม เป็นการทดลองบิดเบือนแรงโน้มถ่วงเพื่อเข้าสู่มิติที่ 4 โดยการสร้างสนามแม่เหล็กของสหรัฐฯ ในปี 1943 ก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ แน่นอนว่ามันต้องถูกประทับตราลับสุดยอดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่วายถูกนำมาแฉโดยคนเปิดเผยเรื่องราวที่ดูเหมือนเพ้อฝันนี้คือนาย "ดร. เจสซุป" เดิมเป็นนักดาราศาสตร์เชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่ว่าด้วยดวงจันทร์ (SELENOGRAPHY) และเป็นนักเขียนเรื่องราวของจานบินต่างๆ สงสัยจังในบรรดาคนที่ออกมาเปิดเผยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวและจานบินทำไมมักมีตำแหน่งพ่วงท้ายเป็นผู้เชี่ยวชาญขององค์กรเกี่ยวกับอวกาศกัน นายเจสซุปเขียนในหนังสือของเขาว่าการทดลองนี้ยึดเอาทฤษฎีเอกภาพแห่งสนามของไอน์สไตน์เป็นต้นแบบ แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดของการทดลองฟิลาเดลเฟียมาพูดถึงทฤษฎีเอกภาพแห่งสนามกันก่อน ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างแรงโน้มถ่วงกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อทั้ง 2 ทำงานร่วมประสานกันอย่างพอดี แรงโน้มถ่วงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรขาคณิตและเกิดมิติที่ 4 ขึ้น!!! เข้าใจไหม??? ถ้าใครเข้าใจมาอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยและกันอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้ว เอาเป็นว่าสรุปง่ายก็คือมันจะเกิดการผิดเพี้ยนของแรงโน้มถ่วงทำให้แรงโน้มถ่วงมีผลกันสสารไม่เหมือนเดิม อย่างเช่นอนุภาคที่เกาะกลุ่มกันอยู่จนกลายเป็นสสารนั่นแยกออกห่างจากกันจนแสงลอดผ่านสสารตัวนั้น (ล่องหนนั่นแหละ) หรือเกิดการหยุดเวลาของสสารตัวนั้นในขณะที่คนภายนอกมองไม่เห็นสสาร
กลับมาที่ฟิลาเดลเฟียกันต่อ การทดลองนี้ทำที่ฟิลาเดลเฟียบนเรือพิฆาตกลางมหาสมุทร เครื่องมือชิ้นสำคัญคือเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กซึ่งประกอบด้วยเครื่องสั่นกระแสคลื่นและเครื่องปรับกระแสคลื่นที่สั่นให้เข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อเริ่มต้นการทดลองเกิดแสงสีเขียวนวลคลุมบริเวณในระยะ 100 หลา ลูกเรือเริ่มหายสาปสูญกันไปทีละคนแต่ยังสามารถสัมผัสตัวกันได้ได้ มีคนที่อยู่บนฝั่งนอร์ฟอรล์ก รัฐเวอร์จิเนีย เห็นตัวเรือล่องหนและปรากฎตัวขึ้นมาใหม่เป็นครั้งคราว ผลการทดลองเหมือนที่เราอ่านในนิยายหรือดูในหนังเลย คือคนที่อยู่ในการทดลองล้วนได้รับความผิดปกติกันทุกคนไม่ตายก็เป็นบ้า แถมยังมีบางคนที่รอดจากความตายและเป็นบ้าแต่กลายเป็นเอ็กเม็นเพราะล่องหนและกลับมาปรากฎตัวได้เหมือนกันตอนทดลอง
ถ้าการทดลองที่ว่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็ถือว่าเป็นก้าวครั้งสำคัญของมนุษย์โลกที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของมิติที่ 3 เหมือนกับตอนที่เรารู้วิธีบินบนท้องฟ้ายังไงยังงั้น แต่เรื่องนี้ก็ยังมีจุดที่ดูจะเป็นไปไม่ได้อยู่หลายจุดทั้งเทคโนโลยีในยุคสมัยนั้นสามารถสร้างคลื่นที่มีความแรงมากพอหรือเปล่า??? แถมทฤษฎีเอกภาพของสนามยังไม่เป็นที่ยอมรับแม้แต่ตัวไอน์สไตน์เองยังเป็นแค่นักฟิสิกส์สติเพี้ยนคนหนึ่งจนสงครามโลกครั้งที 2 จบไปแล้วถึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะ และที่สำคัญเรื่องนี้ดร.เจสซุปก็ไม่ได้เล่าเองโดยตรงเพราะปี 1959 เขาได้ตายลงในรัฐไมอามี แต่คนที่เล่าเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมศึกษาเรื่องจานบินด้วยกันมาชื่อว่า ดร.แมนสัน วาเลนไทม์ ที่ออกมาเล่าหลังจากอีตาเจสซุปตายไปแล้วสิบกว่าปี และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการทดลองฟิลาเดลเฟียถูกส่งมาจากนายทหารที่ร่วมการทดลองแล้วรอดออกมาได้ชื่อว่า คาร์ลอส แอลเลนเด ที่ติดต่อกันทางจดหมายแถมยังตามตัวไม่ได้ด้วย อืม....ปกติเรื่องแบบนี้ก็มักจะส่งทางจดหมายอยู่แล้วอ่ะนะ
ก็ต้องนั่งลุ้นกันไปว่าเรื่องนี้จะจริงหรือหลอกไม่แน่ว่านายเจสซุปอาจกุเรื่องขึ้นมาทั้งหมดเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงในด้านนี้โดยอาศัยทฤษฎีที่พอจะมีความเชื่อถือเป็นแกนเพราะยังไงซะมันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ป้ายกำกับ:
การทดลองลับ
,
โครงการลับ
,
ประวิติศาสตร์
,
ล่องหน
1 ส.ค. 2557
สงครามศักดิ์สิทธิ์ "ครูเสด"
ช่วงนี้เห็นดินแดนตะวันออกกลางรบกันบ่อยเหลือเกิน มีตั้งหลายกลุ่มหลายก้อนจริงๆ แล้วดินแดนแถบนั้นมีสงครามกันมาตั้งยุคเทพพระเจ้าครองโลกแล้วจนถึงยุคปัจจุบันสงครามก็ยังไม่หมดไป แต่ว่าเวลาฟังข่าวประเภทนี้เคยได้ยินคำว่า "สงครามศักดิ์สิทธิ์" กันมั่งไหม ถ้าเคยได้ยินรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร วลีนี่ปลุกใจพวกกลุ่มกบฎในตะวันออกกลางเวลาทำสงครามกับชาวตะวันตกได้ดีเลยล่ะ เพราะว่าจุดเริ่มต้นของสงครามศักดิ์สิทธิ์มาจากการต่อสู้ของผู้นับถือศาสนาต่างกันตั้งแต่เกือบๆ พันปีก่อน คงไม่ต้องบอกนะว่าศาสนาไหนกับศาสนาไหน (อิสลามกับคริสต์ไง) และนี่แหละครับที่ทำให้มุสลิมส่วนใหญ่ในตะวันออกกลางเกลียดพวกฝรั่งเพราะว่าฝรั่งนับถือคริต มุสลิมเกลียดคริสต์เลยเกลียดพวกฝรั่งไปด้วย (ทั้งๆ ที่มีหลักฐานยืนยันชันเจนว่าศาสนาคริสต์ก็กำเนิดในดินแดนตะวันออกกลาง) ส่งผลไปถึงแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ถูกต่อต้านจากขาวตะวันออกกลางถึงกับห้ามสอนในโรงเรียนกันเลย อย่างบางประเทศไม่เชื่อเรื่องการวิวัฒนาการ มนุษย์มาจากลิง สัตว์น้ำวิวัฒนาการเป็นทั้งสัตว์บกและสัตว์ปีก และอีกบลาๆๆๆๆ ด้วยซ้ำ
เกริ่นนำเหมือนจะนอกเรื่องตามแบบฉบับของนายเจซีไปและ ทีนี้เข้าประเด็นกันดีกว่าโพสนี้จะพูดถึงเฉพาะสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินกันในข่าวบ่อยๆ ในช่วงต้นคริสตกาลมีนักบุญจาริกในปาเลสไตน์์ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่ในปี 1076 พวก "เติกร์กมุสลิม" ได้เป็นใหญ่ในดินแดนนี้ทำการฆ่า ปล้น และทำลายโบสถ์คริสต์จนเรียบวุธ "ปีเตอร์มหาฤาษี" พระคริสเตียนรูปหนึ่งจาริกมาพอดีได้เห็นการกระทำนั้นเลยเดินทางกลับยุโรปบ้านเกิดและทูลถึงท่านสังฆนายก เออบันที่ 2 ซึ่งท่านก็สนับสนุน จากนั้นก็ตีฆ้องร้องปล่าวถึงชาวคริสต์ให้มาร่วมกันชิงดินแดนของพระไครสท์ (พระเยซูนั่นแหละ) คืนจากพวกเติร์ก แล้วก็ได้รับการร่วมมืออย่างดีซะด้วย แต่ยังไงนักบุญก็ย่อมเป็นนักบุญไม่ใช่นักรบ ถึงการรวบรวมพลจะได้มากถึง 250,000 คนแต่เกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านธรรมดามีทั้งผู้หญิง เด็ก ไม่มีความสามารถในการรบอาวุธก็ตามแต่จะหาได้ เสบียงก็หายยากต้องปล้นเอากลางทาง ทำให้กองทัพของปีเตอร์มหาฤาษีพ่ายแพ้ยับเยิน ในปี 1096 มีการรวบรวมกองทัพขึ้นมาใหม่ครั้งนี้มีทหารจริงๆ มากกว่าในหนแรกเพราะมีผู้ครองนครต่างๆ เข้าร่วมและครั้งนี้ฝ่ายคริสต์เป็นฝ่ายมีชัยและตั้ง "กอดเฟร์แห่งบุตรอินยอง" ผู้นำทัพของเบลเยี่ยมครองเมืองที่เหลือก็แยกย้ายกันกลับบ้าน หลังจากนั้นก็เหมือนหนังรีเมคครับ ชาวเติร์กรวมพลก็ขึ้นมาชิงเมืองหลวงเยรูซาเลมคืนแล้วก็ชิงกันไปชิงกันมา พอชาวยุโรปแพ้ก็กลับไปรวบรวมกองทัพมามารบใหม่ วนๆ กันไปผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะตามบุญตามกรรมกันไป มีอียิปต์เข้ามาแจมเป็นครั้งคราวแต่บทไม่เด่นเท่าไร
สงครามในช่วงแรกๆ ก็พอจะเรียกได้ว่าสงครามศาสนาได้อยู่หรอกแต่หลังๆ เหมือนเป็นการเมืองมากกว่าเนื่องจากว่าปาเลสไตน์เป็นดินแดนบ้านเกิดของพระเยซูคริสตศาสนิกชนย่อมต้องการเข้าไปเคารพและจาริกแสวงบุญเป็นธรรมดา แล้วนครเยรูซาเลมเมืองหลวงของปาเลสไตน์ในขณะนั้นทางมุสลิมเขาก็บอกว่าเป็นเมืองที่พระเจ้าของพวกเขาเป็นคนสร้างย่อมไม่ต้องการให้พวกคริสต์เข้ามาครองอยู่แล้ว เรียกได้ว่าถ้าใครครองเมืองนี้ได้จะสะดวกทั้งการเผยแผ่ศาสนา เศรษฐกิจก็ดี ได้ทั้งความร่ำรวยและความศรัทธา เห็นได้จากสงครามครั้งหลังๆ มักจะมีเจ้าครองเมืองที่มีซื่อเสียงหลายคนต่างลงขันต์ร่วมชิงเมือง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนคงไม่ส่งทหารมาครั้งแล้วครั้งเล่าถึงจะแพ้มากขนาดไหนก็ยังยอมส่งทหารมาเรื่อยๆ แล้วก็เป็นชาติเดิมๆ ฝรั่งเศษ เยอรมัน อังกฤษ วนๆ อยู่สามประเทศนี้แหละ
ถึงสงครามครูเสดจะจบไปตั้งแต่ปี 1291 แต่คำว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันที่มักจะเอาไว้ปลุกใจ น้าวโน้มจิตใจของผู้คลั่งศาสนา มาทำสงครามกันบ่อยๆ บางก็อ้างว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า หลายเหตุผลแต่จะอ้างแต่สุดท้ายมันก็แค่เกมส์การเมืองชิงความเป็นใหญ่และต้องการอำนาจจากเอกราชของเมืองๆ หนึ่งที่ยกระดับเป็๋นประเทศ
ป้ายกำกับ:
ครูเสด
,
ตำนาน
,
เยรูซาเลม
,
สงครามศาสนา
14 เม.ย. 2557
ยุคสมัยของมนุษย์โลก
ไม่ได้นั่งเขียนบทความซะนานเพราะนึกไม่ออกจะเขียนเรื่องอะไร วันนี้วางแปลนไว้เสร็จและ ในเมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่แล้วก็เขียนเรื่องมนุษย์โลกมันซะเลย ถ้าคุณอ่านแล้วจะรู้ว่ามันมีความแปลกในการเรียงลำดับของยุคสมัยอยู่ครับ อย่างสิ่งก่อสร้างที่ผุดขึ้นไม่ตรงกับยุคสมัย วัตถุโบราณที่ดูล้ำสมัย(ยังไง??) พอนำหลายเรื่องมารวมกันเหมือนกับว่ามีชีวิตทรงภูมิปัญญาเคยดำรงอยู่มาก่อนยุคสมัยของเราอย่างไงอย่างงั้น!!
ตามที่เราร่ำเรียนกันมามนุษย์ถูกแบ่งเป็น 2 ยุคคือยุคหิน เริ่มเมื่อประมาณ 500,000 ถึง 4,000 ปีก่อน และยุคโลหะ ในแต่ละยุคก็แบ่งไปอีกอย่างยุคหินแบ่งเป็น ยุคหินเก่า (500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว ) หินกลาง(10,000 – 6,000 ปีมาแล้ว) หินใหม่(6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว) ยุคโลหะแบ่งเป็น 2 ยุค คือ ยุคสำริด(4,000 – 2,500 ปีมาแล้ว)และยุคเหล็ก(2,500 – 1,500 ปีมาแล้ว) ยุคที่มนุษย์เดินดินเริ่มรวมตัวเป็นชุมชนเริ่มสร้างอะไรต่อมิอะไรคือยุคโลหะ นี่คือช่วงเวลาเริ่มสร้างอารยธรรมครับมันอยู่ประมาณ 4,000 ปี ก่อน ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นยุคหิน ทำไมไม่รู้ในช่วงเวลายุคหินเนี่ยมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารผุดขึ้น สิ่งมีชีวิตสปีชี่ไหนมันสร้างเอาไว้ล่ะครับ บางขิ้นนานถึง 10,000 ปีอยู่ในช่วงยุคหินนู้น
นักโบราณคดีลองไปค้นหาที่มาที่ไปของสิ่งก่อนสร้างเหล่านั้นก็ไม่เจออะไรมากไปกว่า พวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้า แต่ส่วนน้อยนะส่วนใหญ่ยังไม่เจอเรื่องราวสิ่งของโบราณเหล่านั้นอย่างโยนากุนินี่ยังเถียงกันไม่จบเลยว่ามนุษย์สร้างหรือธรรมชาติสังสรรค์ ต่อให้เป็นมนุษย์สร้างจริงก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามนุษย์สปีชี่ไหนลงไปสร้างเมืองใต้น้ำแบบนั้น นาย - นางเงือกเร๊อะ!! ไม่แค่นั้นบางสถานที่ยังใหญ่โตมโหฬารเกินกำลังมนุษย์ในยุคนั้นจะสร้างได้ หลักฐานอีกอย่างที่ไปเกิดผิดยุคผิดสมัย
แบตเตอรี่ไหอายุกว่าสามพันปีที่กรุงแบกแดดลักษณะภายนอกก็เหมือนไหนธรรมดาทั่วไปเพียงปากไหถูกปิดด้วยวัตถุประเภทน้ำมันดินมีแท่งเหล็กสอดอยู่ด้านในซึ่งหุ้มด้วยวัสดุประเภทแผ่นทองแดงอีกต่อนึง Willard F. M. Gray ชาวอเมริกันแห่ง the General Electric High Voltage Laboratory ในเมืองพิตสฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซ็ต ได้นำต้นแบบมาทดลองสร้างเลียนแบบแล้วเทลงน้ำองุ่นลงไปปรากฏว่ามันสามารถผลิตไฟฟ้าได้จริงๆ ถึงจะน้อยมากก็เถอะแค่ 2 โวลล์เอง มันเล็กน้อยเสียจนเอาไปทำอะไรไม่ได้เลย แต่แค่นี้ก็พอจะยืนยันได้แล้วล่ะครับว่าโลกใบนี้ค้นพบไฟฟ้าก่อนนาย Alassandro Volta ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าไหใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร??
พอแค่นี้ก่อนจริงๆ ยังมีอีกหลายชิ้นเลยไปค้นหากันเองบ้าง แต่ก็พอจะสรุปได้คราวๆ ว่ายุคสมัยของมนุษย์ที่เราร่ำเรียนกันมามันไม่ตรงซะทีเดียวมีหลายอย่างบอกเราว่าในยุคหินเคยมีอารธรรมมาก่อน มันชวนให้นึกถึงเรื่องที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกซะจริงๆ ที่บอกว่าในอดีตเคยมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว 3 องค์ ศาสดาของศาสนาพุทธคือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 และองค์ที่ 5 คือพระศรีอาริยเมตไตยกำลังเวียนว่ายตายเกิดในภพภูติต่างๆ แล้วแต่ละองค์บรรยายรูปร่างลักษณะอย่างกับเอเลี่ยน ไม่แน่ว่าจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันกำลังบอกว่าในอดีตเคยมีอารธรรมและล่มสลายแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ได้
ตามที่เราร่ำเรียนกันมามนุษย์ถูกแบ่งเป็น 2 ยุคคือยุคหิน เริ่มเมื่อประมาณ 500,000 ถึง 4,000 ปีก่อน และยุคโลหะ ในแต่ละยุคก็แบ่งไปอีกอย่างยุคหินแบ่งเป็น ยุคหินเก่า (500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว ) หินกลาง(10,000 – 6,000 ปีมาแล้ว) หินใหม่(6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว) ยุคโลหะแบ่งเป็น 2 ยุค คือ ยุคสำริด(4,000 – 2,500 ปีมาแล้ว)และยุคเหล็ก(2,500 – 1,500 ปีมาแล้ว) ยุคที่มนุษย์เดินดินเริ่มรวมตัวเป็นชุมชนเริ่มสร้างอะไรต่อมิอะไรคือยุคโลหะ นี่คือช่วงเวลาเริ่มสร้างอารยธรรมครับมันอยู่ประมาณ 4,000 ปี ก่อน ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นยุคหิน ทำไมไม่รู้ในช่วงเวลายุคหินเนี่ยมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารผุดขึ้น สิ่งมีชีวิตสปีชี่ไหนมันสร้างเอาไว้ล่ะครับ บางขิ้นนานถึง 10,000 ปีอยู่ในช่วงยุคหินนู้น
โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิอายุราวๆ 10.000 ปีหรืออยู่ราวๆ ยุคหินกลาง!! |
นักโบราณคดีลองไปค้นหาที่มาที่ไปของสิ่งก่อนสร้างเหล่านั้นก็ไม่เจออะไรมากไปกว่า พวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้า แต่ส่วนน้อยนะส่วนใหญ่ยังไม่เจอเรื่องราวสิ่งของโบราณเหล่านั้นอย่างโยนากุนินี่ยังเถียงกันไม่จบเลยว่ามนุษย์สร้างหรือธรรมชาติสังสรรค์ ต่อให้เป็นมนุษย์สร้างจริงก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามนุษย์สปีชี่ไหนลงไปสร้างเมืองใต้น้ำแบบนั้น นาย - นางเงือกเร๊อะ!! ไม่แค่นั้นบางสถานที่ยังใหญ่โตมโหฬารเกินกำลังมนุษย์ในยุคนั้นจะสร้างได้ หลักฐานอีกอย่างที่ไปเกิดผิดยุคผิดสมัย
แบตเตอรี่ไหอายุกว่าสามพันปีที่กรุงแบกแดดลักษณะภายนอกก็เหมือนไหนธรรมดาทั่วไปเพียงปากไหถูกปิดด้วยวัตถุประเภทน้ำมันดินมีแท่งเหล็กสอดอยู่ด้านในซึ่งหุ้มด้วยวัสดุประเภทแผ่นทองแดงอีกต่อนึง Willard F. M. Gray ชาวอเมริกันแห่ง the General Electric High Voltage Laboratory ในเมืองพิตสฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซ็ต ได้นำต้นแบบมาทดลองสร้างเลียนแบบแล้วเทลงน้ำองุ่นลงไปปรากฏว่ามันสามารถผลิตไฟฟ้าได้จริงๆ ถึงจะน้อยมากก็เถอะแค่ 2 โวลล์เอง มันเล็กน้อยเสียจนเอาไปทำอะไรไม่ได้เลย แต่แค่นี้ก็พอจะยืนยันได้แล้วล่ะครับว่าโลกใบนี้ค้นพบไฟฟ้าก่อนนาย Alassandro Volta ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าไหใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร??
นี่ก็อีกชิ้นหนึ่งค้อนอายุกว่า 140 ล้านปีอยู่ในยุคไดโนเสาร์นู้นมันช่างไกลจากบทเรียนของเราซะเหลือเกินยุดนั้นไม่มีทางมีมนุษย์อยู่แน่นอน เจ้าค้อนโบราณกาลอันนี้ถูกค้นพบโดยนาย Max Han ชอบใช้เวลาในวันหยุดไปตกปลากับครอบครัวของเขาที่ Texas มีอยู่วันหนึ่งเขาได้พบกับหินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญบริเวณริมตลิ่ง Han รู้สึกประหลาดใจกับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแท่งไม้ที่โผล่ออกมาจาก หินก้อนหนึ่ง มันดูเก่าและเหมือนฟอสซิลของไม้ เขาลองเอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ครับ!! มันเป็นของเก่าจริงแต่เก่าเกินกว่าจินตนาการเอามากๆ แถมส่วนผสมยังต่างๆ กันเหล็กในยุคนี้มากๆ คือ เหล็ก 96% คลอรีน 2.6% กับกำมะถัน 0.74 % แต่ไม่ยักกะมีคาร์บอน เนื้อเหล็กยังหลอมด้วยเทคโนโลยีที่สูงเอามากๆ สูงกว่าในปัจจุบันนี้ซะอีกจนกลายเป็นเหล็กที่บริสุทธิ์เนื้อแน่นไม่มีฟองอากาศเลย
ค้อนอายุกว่า 140 ล้านปีอยู่ในยุคไดโนเสาร์ |
พอแค่นี้ก่อนจริงๆ ยังมีอีกหลายชิ้นเลยไปค้นหากันเองบ้าง แต่ก็พอจะสรุปได้คราวๆ ว่ายุคสมัยของมนุษย์ที่เราร่ำเรียนกันมามันไม่ตรงซะทีเดียวมีหลายอย่างบอกเราว่าในยุคหินเคยมีอารธรรมมาก่อน มันชวนให้นึกถึงเรื่องที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกซะจริงๆ ที่บอกว่าในอดีตเคยมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว 3 องค์ ศาสดาของศาสนาพุทธคือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 และองค์ที่ 5 คือพระศรีอาริยเมตไตยกำลังเวียนว่ายตายเกิดในภพภูติต่างๆ แล้วแต่ละองค์บรรยายรูปร่างลักษณะอย่างกับเอเลี่ยน ไม่แน่ว่าจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันกำลังบอกว่าในอดีตเคยมีอารธรรมและล่มสลายแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ได้
6 เม.ย. 2557
เมืองลับแล ปริศนาอาณาจักรลึกลับ
เขียนเรื่องลึกลับต่างชาติมานานกลับมาเขียนเรื่องลึกลับแบบไทยๆ กันมั่ง
จริงๆ ประเทศไทยเราก็มีเรื่องลึกลับเยอะไม่แพ้ต่างชาติหรอก
แต่ไม่มีใครสนใจฟังเท่านั้นเอง
ต่างชาติเขาโปรโมทเรื่องลึกลับของประเทศตัวเองจนโกยเงินเข้าประเทศตั้งเยอะ
แยะแล้ว ทั้งจากของที่ระลึกเอย สถานที่ท่องเที่ยวเอย
พอมีคนเข้าไปสินค้าพื้นเมืองก็ขายได้ สร้างงานให้กับคนพื้นถิ่นอีก
และก็มีคนบางจำพวกที่ชอบนำเรื่องลึกลับไปผูกกับเรื่องภูตผีวิญญาณเจ้าเข้า
ทรงมั่งล่ะจนกลายเป็นเป็นเรื่องงมงายไป ทั้งๆ
ที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกับภูติผีวิญญาณซักหน่อย ขยันผูกเรื่องกันจริงๆ
กลับเข้าเรื่องเลยและกัน อย่างที่จั่วหัวไว้นั้นแหละตอนนี้จะเป็นเรื่องเมืองลับแล อาณาจักรที่ว่ากันว่าดำรงอยู่คู่ขนานไปกับโลกของเรา ทำนองเดียวกับโลกใต้พิภพนั่นแหละครับ แต่อย่าพึ่งเบื่อเพราะเคยได้ยินเรื่องเมืองลับแลที่จังหวัดอุตรดิตย์มาแล้ว นะ เรื่องที่คนทั่วไปเขาเขียนไปแล้วนายเจซีไม่สนใจจะเขียนซ้ำหรอก มันต้องเป็นเรื่องใหม่หรือไม่ก็เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักเท่า นั้น (อุดมการณ์สูง.....) ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางซ้ำซากๆ แน่นอน นอกจากอุตรดิตย์ที่ได้ยินจนคุ้นหูแล้วยังมีเมืองลับแลที่จังหวัดอื่นอีก ครับ อย่างวัดถ้ำแกลบ ถ้ำเปี้ยว วัดเขาบันไดอิฐ วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดถ้ำรงค์ วัดใหญ่สุวรรณาราม ทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี โอ้...เยอะแท้แถมยังลึกลับกว่าอุตรดิตย์อีก ทั้งทางเดินใต้ดินที่เชื่อมวัด 4 วัดและอาจจะเป็นทางเดินเข้าออกของชาวเมืองลับแล เรื่องเล่าทางลับปริศนาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้าง และสร้างไว้ทำไม ตำนานพระนิ้วหินที่หลงเข้าถ้ำที่เพชรบุรีแต่ไปโผล่ที่ราชบุรีระหว่างทางท่าน เจอเมืองลับแลที่มีแต่ผู้หญิงเข้าให้
ลึกลับใช่เล่นแฮะ!! เกริ่นนำพอสมควรจากนี้ขอลงในรายระเอียดให้มันชัดเจนไปเลย เริ่มต้นที่วัดถ้ำแกลบเลยและกันวัดนี้มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดบุญทวี" ในเขตวัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่า "ถ้ำแกลบ" ชื่อกระโหลกกระลาแท้ๆ แต่ว่ามันมีที่มาครับ สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะมักมีคนพบแกลบกองเท่ากระบุงอยู่ในถ้ำบ่อยๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็เลยนำไปรวมกับเรื่องทางเข้าออกของเมืองลับแล กลายเป็นว่าคนเมืองลับแลสีข้าวแล้วเอาแกลบมาทิ้ง แถบนี้มีตำนานเมืองลับแลอยู่เรื่องหนึ่งออกจะคล้ายๆ กับเรื่องที่อุตรดิตย์ เรื่องมันมีอยู่ว่า.......
มีชายคนหนึ่งมีอาชีพทำน้ำตาลและรับปาดตาล ทุกวันจะออกไปปีนต้นตาลตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ปาดตาลไปเรื่อยเหมือนปกติของทุกๆ วันนั่นแหละครับ และแล้ววันหนึ่งเขาเจอผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำทำท่าลับๆ ล่อๆ เอาของบางอย่างซ่อนไว้แล้วเดินจากไปพอเย็นๆ ก็เดินกลับมาเอาของที่ซ่อนไว้แล้วเข้าถ้ำไป ชายหนุ่มนักปาดตาลเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้งเลยตัดสินลงไปดูให้มัน รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันเป็นอะไร รุ่งขึ้นอีกวันรอจนพวกนางไปหมดแล้ว เขาลงไปถึงหน้าถ้ำหายจนทั่วก็ไม่เจออะไรมีแต่แกลบกองอยู่หลายกอง ก็เลยหยิบติดมือมากองหนึ่งแล้วกลับไปทำงานต่อ เย็นวันนั้นหญิงกลุ่มนั้นก็กลับมาหยิบของอะไรซักแล้วกลับเข้าถ้ำแต่ว่าครั้ง นี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ นะซิครับ มีหญิงหนึ่งในนั้นนั้งร้องไห้อยู่หน้าถ้ำ ลองไปถามดูนางบอกว่าของของนางหายเลยกลับเข้าไปไม่ได้ เขานึกได้ว่าตัวเองหยิบแกลบมากองหนึ่งเลยเอามาคืน กลายเป็นว่าแกลบกองนั้นคือของสำคัญที่ใช้ผ่านเข้าออกเมืองลับแล แล้วทั้งคู่ก็รักกันตามแบบฉบับตำนาน พล็อตต่อจากนี้ก็เหมือนเรื่องที่อุตรดิตย์แหละครับ ชายปาดตาลเผลอพูดโกหกเหตุผลเดียวกันเป็ะ!! เลยโดนไล่ออกจากหมู่บ้านและภรรยาให้ขมิ้นใส่ยามยื่นให้แล้วไม่พูดอะไร ระหว่างทางก็โยนทิ้งไปบ้าง กลับมาถึงบ้านขมิ้นดันกลายเป็นทอง
พล็อตเดียวกันเมืองลับแลที่อุตรดิตย์เลย ที่เพิ่มเข้ามาก็คือมีแกลบเป็นบัตรผ่านประตู อืม....ขนาดกลับถึงบ้านขมิ้นกลายเป็นทองได้ แกลบกลายเป็นบัตรผ่านประตูมันก็ไม่แปลกหรอกนะ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่าลือกันว่ามีทางเดินใต้ดินที่เป็นของชาวลับแล เชื่อมวัด 4 วัดเข้าด้วยกันคือ วัดถ้ำแก้วเขาวัง วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดเขาบันไดอิฐ วัดถ้ำแกลบ วัดอื่นๆ ทางเข้าอยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแหล่งข้อมูลของผมก็เรียบเรียงมามั่วๆ ไว้หาเจอจะเอามาบอก แต่ที่วัดพระพุทธไสยาสน์หรือเรียกกันติดปากว่า "วัดพระนอน" ที่มีพระนอนองค์ใหญ่โตมโหฬารนั่นแหละ เชื่อกันว่าทางเดินลับใต้ดินที่ว่านั้นอยู่ที่ใต้พระนอนนั่นเอง เรื่องนี้ไม่ได้เล่ากันลอยๆ นะครับมีเรื่องประกอบด้วย ว่ากันว่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในสงครามเก้าทัพพม่าล้อมเมืองนี่ อยู่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุอันใดทหารไทยลอบตีข้างหลังพม่าได้ทั้งๆ ที่ถูกล้อมอยู่ ชาวบ้านก็เลยเชื่อว่าทหารไทยลอบออกไปทางลับใต้ดินที่มีเรื่องเล่ามาช้านาน นั่นเอง
พอนำไปรวมกับเรื่องเล่าชาวบ้านที่อ้างว่าสำรวจถ้ำบางแห่งในภูเขาแถบนั้นเช่นถ้ำเปี้ยว ถ้ำเขาหลวง แล้วเจอทางเดินที่ไม่น่าจะเป็นทางธรรมชาติสร้างเพราะมันราบเรียบแถมเจอข้าวของเก่าๆ ทิ้งไว้เกลื่อนกลาด บางถ้ำมีทางเดินในถ้ำก็ทอดยาวไปไกลน่าจะเรียกว่าอุโมงค์มากกว่า เมื่อเดินถึงสุดทางกลับเจอแผ่นปูนซีเมนต์ปิดอยู่ เรื่องที่มีข้าวของทิ้งเกลื่อนพอจะอธิบายได้ว่าเป็นที่หลบภัยเวลาเกิดสงคราม ที่เรื่องผนังปูนซีเมนต์นี่ซิมันมายังไง?? แล้วบังเอิญที่ถ้ำเขาหลวงก็มีผนังปูนปิดอยู่เขาติ๊ต่างว่านี่คือเขตแบ่งเมืองลับแลกับเมืองเพชรบุรี เรื่องนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้เพราะไม่เคยไปเหมือนใครไปมาแล้วแวะมาบอกหน่อยและกันว่าจริงไหม ไม่งั้นนายเจซีคนนี้ก็โดนแหกตาแน่ๆ!! แล้วก็บังเอิญเหมือนจงใจที่วัดถ้ำรงค์เล่ากันว่ามีทางเข้าอยู่หลังวัดแต่ปัจจุบันทางเข้านั้นถูกปิดไปตามระเบียบ
เห้อ!!!! ตัดตอนไปหลายส่วนทีเดียวพระนิ้วเพชรก็ยังไม่ได้พูดถึง หลวงพ่อดำที่วัดถ้ำรงค์ชอบออกมาเดิน พระออกมาเดินก็ไม่แปลกหรอกนะแต่หลวงพ่อดำที่ว่านี่เป็นพระพุทธรูปน่ะซิครับ แค่นี่ก็รีบเขียนจะแย่แล้วเอาไว้วันหลังจากหมดมุกเขียนจะเอาเรื่องเล่าชาวบ้านมาลงให้อ่านและกัน
กลับเข้าเรื่องเลยและกัน อย่างที่จั่วหัวไว้นั้นแหละตอนนี้จะเป็นเรื่องเมืองลับแล อาณาจักรที่ว่ากันว่าดำรงอยู่คู่ขนานไปกับโลกของเรา ทำนองเดียวกับโลกใต้พิภพนั่นแหละครับ แต่อย่าพึ่งเบื่อเพราะเคยได้ยินเรื่องเมืองลับแลที่จังหวัดอุตรดิตย์มาแล้ว นะ เรื่องที่คนทั่วไปเขาเขียนไปแล้วนายเจซีไม่สนใจจะเขียนซ้ำหรอก มันต้องเป็นเรื่องใหม่หรือไม่ก็เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักเท่า นั้น (อุดมการณ์สูง.....) ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางซ้ำซากๆ แน่นอน นอกจากอุตรดิตย์ที่ได้ยินจนคุ้นหูแล้วยังมีเมืองลับแลที่จังหวัดอื่นอีก ครับ อย่างวัดถ้ำแกลบ ถ้ำเปี้ยว วัดเขาบันไดอิฐ วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดถ้ำรงค์ วัดใหญ่สุวรรณาราม ทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี โอ้...เยอะแท้แถมยังลึกลับกว่าอุตรดิตย์อีก ทั้งทางเดินใต้ดินที่เชื่อมวัด 4 วัดและอาจจะเป็นทางเดินเข้าออกของชาวเมืองลับแล เรื่องเล่าทางลับปริศนาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้าง และสร้างไว้ทำไม ตำนานพระนิ้วหินที่หลงเข้าถ้ำที่เพชรบุรีแต่ไปโผล่ที่ราชบุรีระหว่างทางท่าน เจอเมืองลับแลที่มีแต่ผู้หญิงเข้าให้
ลึกลับใช่เล่นแฮะ!! เกริ่นนำพอสมควรจากนี้ขอลงในรายระเอียดให้มันชัดเจนไปเลย เริ่มต้นที่วัดถ้ำแกลบเลยและกันวัดนี้มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดบุญทวี" ในเขตวัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่า "ถ้ำแกลบ" ชื่อกระโหลกกระลาแท้ๆ แต่ว่ามันมีที่มาครับ สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะมักมีคนพบแกลบกองเท่ากระบุงอยู่ในถ้ำบ่อยๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็เลยนำไปรวมกับเรื่องทางเข้าออกของเมืองลับแล กลายเป็นว่าคนเมืองลับแลสีข้าวแล้วเอาแกลบมาทิ้ง แถบนี้มีตำนานเมืองลับแลอยู่เรื่องหนึ่งออกจะคล้ายๆ กับเรื่องที่อุตรดิตย์ เรื่องมันมีอยู่ว่า.......
มีชายคนหนึ่งมีอาชีพทำน้ำตาลและรับปาดตาล ทุกวันจะออกไปปีนต้นตาลตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ปาดตาลไปเรื่อยเหมือนปกติของทุกๆ วันนั่นแหละครับ และแล้ววันหนึ่งเขาเจอผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำทำท่าลับๆ ล่อๆ เอาของบางอย่างซ่อนไว้แล้วเดินจากไปพอเย็นๆ ก็เดินกลับมาเอาของที่ซ่อนไว้แล้วเข้าถ้ำไป ชายหนุ่มนักปาดตาลเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้งเลยตัดสินลงไปดูให้มัน รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันเป็นอะไร รุ่งขึ้นอีกวันรอจนพวกนางไปหมดแล้ว เขาลงไปถึงหน้าถ้ำหายจนทั่วก็ไม่เจออะไรมีแต่แกลบกองอยู่หลายกอง ก็เลยหยิบติดมือมากองหนึ่งแล้วกลับไปทำงานต่อ เย็นวันนั้นหญิงกลุ่มนั้นก็กลับมาหยิบของอะไรซักแล้วกลับเข้าถ้ำแต่ว่าครั้ง นี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ นะซิครับ มีหญิงหนึ่งในนั้นนั้งร้องไห้อยู่หน้าถ้ำ ลองไปถามดูนางบอกว่าของของนางหายเลยกลับเข้าไปไม่ได้ เขานึกได้ว่าตัวเองหยิบแกลบมากองหนึ่งเลยเอามาคืน กลายเป็นว่าแกลบกองนั้นคือของสำคัญที่ใช้ผ่านเข้าออกเมืองลับแล แล้วทั้งคู่ก็รักกันตามแบบฉบับตำนาน พล็อตต่อจากนี้ก็เหมือนเรื่องที่อุตรดิตย์แหละครับ ชายปาดตาลเผลอพูดโกหกเหตุผลเดียวกันเป็ะ!! เลยโดนไล่ออกจากหมู่บ้านและภรรยาให้ขมิ้นใส่ยามยื่นให้แล้วไม่พูดอะไร ระหว่างทางก็โยนทิ้งไปบ้าง กลับมาถึงบ้านขมิ้นดันกลายเป็นทอง
พล็อตเดียวกันเมืองลับแลที่อุตรดิตย์เลย ที่เพิ่มเข้ามาก็คือมีแกลบเป็นบัตรผ่านประตู อืม....ขนาดกลับถึงบ้านขมิ้นกลายเป็นทองได้ แกลบกลายเป็นบัตรผ่านประตูมันก็ไม่แปลกหรอกนะ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่าลือกันว่ามีทางเดินใต้ดินที่เป็นของชาวลับแล เชื่อมวัด 4 วัดเข้าด้วยกันคือ วัดถ้ำแก้วเขาวัง วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดเขาบันไดอิฐ วัดถ้ำแกลบ วัดอื่นๆ ทางเข้าอยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแหล่งข้อมูลของผมก็เรียบเรียงมามั่วๆ ไว้หาเจอจะเอามาบอก แต่ที่วัดพระพุทธไสยาสน์หรือเรียกกันติดปากว่า "วัดพระนอน" ที่มีพระนอนองค์ใหญ่โตมโหฬารนั่นแหละ เชื่อกันว่าทางเดินลับใต้ดินที่ว่านั้นอยู่ที่ใต้พระนอนนั่นเอง เรื่องนี้ไม่ได้เล่ากันลอยๆ นะครับมีเรื่องประกอบด้วย ว่ากันว่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในสงครามเก้าทัพพม่าล้อมเมืองนี่ อยู่ แต่ไม่รู้ว่าเหตุอันใดทหารไทยลอบตีข้างหลังพม่าได้ทั้งๆ ที่ถูกล้อมอยู่ ชาวบ้านก็เลยเชื่อว่าทหารไทยลอบออกไปทางลับใต้ดินที่มีเรื่องเล่ามาช้านาน นั่นเอง
พอนำไปรวมกับเรื่องเล่าชาวบ้านที่อ้างว่าสำรวจถ้ำบางแห่งในภูเขาแถบนั้นเช่นถ้ำเปี้ยว ถ้ำเขาหลวง แล้วเจอทางเดินที่ไม่น่าจะเป็นทางธรรมชาติสร้างเพราะมันราบเรียบแถมเจอข้าวของเก่าๆ ทิ้งไว้เกลื่อนกลาด บางถ้ำมีทางเดินในถ้ำก็ทอดยาวไปไกลน่าจะเรียกว่าอุโมงค์มากกว่า เมื่อเดินถึงสุดทางกลับเจอแผ่นปูนซีเมนต์ปิดอยู่ เรื่องที่มีข้าวของทิ้งเกลื่อนพอจะอธิบายได้ว่าเป็นที่หลบภัยเวลาเกิดสงคราม ที่เรื่องผนังปูนซีเมนต์นี่ซิมันมายังไง?? แล้วบังเอิญที่ถ้ำเขาหลวงก็มีผนังปูนปิดอยู่เขาติ๊ต่างว่านี่คือเขตแบ่งเมืองลับแลกับเมืองเพชรบุรี เรื่องนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้เพราะไม่เคยไปเหมือนใครไปมาแล้วแวะมาบอกหน่อยและกันว่าจริงไหม ไม่งั้นนายเจซีคนนี้ก็โดนแหกตาแน่ๆ!! แล้วก็บังเอิญเหมือนจงใจที่วัดถ้ำรงค์เล่ากันว่ามีทางเข้าอยู่หลังวัดแต่ปัจจุบันทางเข้านั้นถูกปิดไปตามระเบียบ
เห้อ!!!! ตัดตอนไปหลายส่วนทีเดียวพระนิ้วเพชรก็ยังไม่ได้พูดถึง หลวงพ่อดำที่วัดถ้ำรงค์ชอบออกมาเดิน พระออกมาเดินก็ไม่แปลกหรอกนะแต่หลวงพ่อดำที่ว่านี่เป็นพระพุทธรูปน่ะซิครับ แค่นี่ก็รีบเขียนจะแย่แล้วเอาไว้วันหลังจากหมดมุกเขียนจะเอาเรื่องเล่าชาวบ้านมาลงให้อ่านและกัน
3 เม.ย. 2557
เรื่องของนาค
ทิ้งบล็อกนี้ไปนานตอนแรกก็แค่สร้างไว้ลวกๆ แต่ยอดวิวดีเหลือเกินเลยกลับมาเขียนต่อ เรื่องที่แล้วเขียนเรื่องครุฑไว้และคงจะขาดเรื่องพญานาคไปไม่ได้ ยังไงๆ มันก็เป็นของคู่กันแหละน่า ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรของนาคดี เพราะคนอื่้นๆ เขาเขียนลงเว็บลงบล็อกกันไปหมดแล้ว แล้วหลายๆ เรื่องคนก็รู้กันอยู่แล้ว คิดไปคิดมาเอาเรื่องนาคในพงศาวดารต่างๆ ของประเทศเพื่อบ้านก็แล้วกัน คิดว่าหลายๆ คนอาจไม่รู้ก็ได้
นอกจากไทยแล้วประเทศเพื่อนบ้านเราก็มีเรื่องเล่าของนาคเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันไปตามสังคมเมืองของเมืองนั้นๆ อย่างพม่าสถานะทางสังคมของพญานาคดูเหมือนไม่ดีเท่าไร มีบันทึกอยู่หลายเรื่องที่พูดถึงนางนาคที่ขึ้นมาความสัมพันธ์กับผู้มีบุญแต่ไม่รู้บุญกรรมแต่ปางไหนมักทีจุดจบไม่สวยนักมักมีเหตุเป็นไปซะทุกเรื่อง แม้แต่ชนชาติมอญก็ได้รับอิทธิพลนี้อยู่เหมือนกัน มีพงศาวดารของมอญเรื่องหนึ่งเขียนไว้ว่า
กาลครั้งหนึ่ง...(อืม..ขึ้นต้นอย่างกันนิทานอีสปเลยเรา) มีฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า "โลมดาบส" อาศัยบนภูเขาหงอนนาค ขณะเดินหาผลไม้ไปตามท้องเรื่องได้ไปเจอไข่ฟองหนึ่งของนางนาคที่แอบขึ้นมามีความสัมพันธ์กับเพทยาธรจนมีลูกด้วยกัน พอคลอดลูกออกมากลับเป็นไข่เพทยาธรจึงรู้ว่าผู้หญิงทีนอนด้วยทุกคืนเป็นนาคเลยเกิดความเบื่อหน่ายหนีไป ส่วนนางนาคก็หนีกลับเมืองนาคไปเหมือนกัน ก็เหลือแต่ฤาษีโลมดาบสที่ต้องรับบทเลี้ยงดูไข่นาค พอไข่แตกออกมาเป็นกุมารีสวยสดงดงามฤาษีก็เลี้ยงตูจนเติบใหญ่ เรื่องต่อจากนี้เราๆ ท่านๆ คงเดาออกแล้วล่ะว่าจะเป็นอย่างไงต่อไป พรานป่ามาเจอ > ไปบอกพระเจ้าแผ่นดิน > ให้เสนาอำมาตย์มาขอ > แต่ตั้งเป็นอัครมเหสี พล๊อตเรื่องเดียวกับละครจักรๆ วงค์ ๆ เช้าเสาร์ - อาทิตย์ เป๊ะ!! ข้ามตอนมีลูกแฝดไปถึงจุดไคลแมคเลยและกัน พระวิมลาราชเทวีที่ออกมาจากไข่นางนาคนั่นแหละ เวลาเธอพิโรธโกรธานางสนมผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะตายด้วยพิษของนาค เรื่องนี้เป็นที่สงสัยไปถึงพระเจ้าเสนะคงคา พระองค์ทรงเปิดประชุมบรรดาเสนาอำมาตย์จนได้ข้อยุติว่านางอาจมีชาติเป็นนาค ปุโรหิตจึงประกอบยาขึ้นมาตัวหนึ่ง ยาอะไรก็มิทราบได้เมื่อพระวิมลราชเทวีประพรมต่างผัดแป้งร่างกายก็ซูดผอมจนถึงแต่ความตายถึงได้รู้นางมีชาติเป็นนาค ทรงผลให้ลูกแฝดของนางนาคโดยขับไล่ออกจากเมืองไปกลับไปอยู่กับฤาษี
มันตรงกันข้ามกับไทย ลาว กัมพูชาชะจริงๆ เพราะนาคมักได้รับการบูชาพอๆ กับเทวดา อืม...จะมากกว่าซะด้วยมั้ง จากเท่าที่รู้มารู้สึกว่าถึงจะนับถือนาคเหมือนกันแต่ก็พอมีความแตกต่างกันไปเล็กน้อย อย่างไทยจะบูชานาคอย่างมาก นาคจะมีบทบาทในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่มีตำนานหรือพงศาวดารในด้านอื่นๆ เลย ต่างจากลาวที่พอจะมีบทบาททางสังคมเพิ่มขึ้นแล้วยังมีประเพณีการบูชาพญานาคที่ชัดเจนมากเช่น การบูชานาค 15 ตระกูล ตำนานการตั้งรกร้างของชาวลาวริมแม่น้ำโขง แล้วยังมีเรื่องที่นาคขึ้นมาช่วยดูแลบ้านเมืองที่เขียนไว้ชัดเจนมาก พญานาคทางกัมพูชาจะเด่นด้านการสังคมกว่าที่อื่นๆ อย่างการสร้างกรุงกัมพูชาที่นาคเนรมิตให้พระทองเพื่อรับขวัญลูกเขย พงศาวดารส่วนนี้ไม่มีอะไรหวือหว๋าขอข้ามไปเลยและกัน นอกจากนี้ยังมีตอนสร้างพระนครธมทีมีฉากมนุษย์กับนาครบกันเหตุเพราะว่าในสมัยพระเจ้ากรุงพาลไม่ถวายบรรณาการให้กับพญานาคตามพระเจ้าองค์ก่อนที่ได้ตกลงกันตอนสร้างพระนครธมก็เลยยกพลขึ้นบกแต่ก็แพ้มนุษย์
ฉะนั้นไม่ว่านาคจะมีจริงๆ หรือไม่มันไม่สำคัญซะแล้วล่ะครับ เพราะพญานาคเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพงศาวดาร ประเพณี วัฒนธรรม ไปจนถึงความเชื่อการปฏิบัติตัว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแถบนี้ไปซะแล้วล่ะครับ
นอกจากไทยแล้วประเทศเพื่อนบ้านเราก็มีเรื่องเล่าของนาคเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันไปตามสังคมเมืองของเมืองนั้นๆ อย่างพม่าสถานะทางสังคมของพญานาคดูเหมือนไม่ดีเท่าไร มีบันทึกอยู่หลายเรื่องที่พูดถึงนางนาคที่ขึ้นมาความสัมพันธ์กับผู้มีบุญแต่ไม่รู้บุญกรรมแต่ปางไหนมักทีจุดจบไม่สวยนักมักมีเหตุเป็นไปซะทุกเรื่อง แม้แต่ชนชาติมอญก็ได้รับอิทธิพลนี้อยู่เหมือนกัน มีพงศาวดารของมอญเรื่องหนึ่งเขียนไว้ว่า
กาลครั้งหนึ่ง...(อืม..ขึ้นต้นอย่างกันนิทานอีสปเลยเรา) มีฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า "โลมดาบส" อาศัยบนภูเขาหงอนนาค ขณะเดินหาผลไม้ไปตามท้องเรื่องได้ไปเจอไข่ฟองหนึ่งของนางนาคที่แอบขึ้นมามีความสัมพันธ์กับเพทยาธรจนมีลูกด้วยกัน พอคลอดลูกออกมากลับเป็นไข่เพทยาธรจึงรู้ว่าผู้หญิงทีนอนด้วยทุกคืนเป็นนาคเลยเกิดความเบื่อหน่ายหนีไป ส่วนนางนาคก็หนีกลับเมืองนาคไปเหมือนกัน ก็เหลือแต่ฤาษีโลมดาบสที่ต้องรับบทเลี้ยงดูไข่นาค พอไข่แตกออกมาเป็นกุมารีสวยสดงดงามฤาษีก็เลี้ยงตูจนเติบใหญ่ เรื่องต่อจากนี้เราๆ ท่านๆ คงเดาออกแล้วล่ะว่าจะเป็นอย่างไงต่อไป พรานป่ามาเจอ > ไปบอกพระเจ้าแผ่นดิน > ให้เสนาอำมาตย์มาขอ > แต่ตั้งเป็นอัครมเหสี พล๊อตเรื่องเดียวกับละครจักรๆ วงค์ ๆ เช้าเสาร์ - อาทิตย์ เป๊ะ!! ข้ามตอนมีลูกแฝดไปถึงจุดไคลแมคเลยและกัน พระวิมลาราชเทวีที่ออกมาจากไข่นางนาคนั่นแหละ เวลาเธอพิโรธโกรธานางสนมผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะตายด้วยพิษของนาค เรื่องนี้เป็นที่สงสัยไปถึงพระเจ้าเสนะคงคา พระองค์ทรงเปิดประชุมบรรดาเสนาอำมาตย์จนได้ข้อยุติว่านางอาจมีชาติเป็นนาค ปุโรหิตจึงประกอบยาขึ้นมาตัวหนึ่ง ยาอะไรก็มิทราบได้เมื่อพระวิมลราชเทวีประพรมต่างผัดแป้งร่างกายก็ซูดผอมจนถึงแต่ความตายถึงได้รู้นางมีชาติเป็นนาค ทรงผลให้ลูกแฝดของนางนาคโดยขับไล่ออกจากเมืองไปกลับไปอยู่กับฤาษี
พญานาคในไทยจะมีแต่เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา |
มันตรงกันข้ามกับไทย ลาว กัมพูชาชะจริงๆ เพราะนาคมักได้รับการบูชาพอๆ กับเทวดา อืม...จะมากกว่าซะด้วยมั้ง จากเท่าที่รู้มารู้สึกว่าถึงจะนับถือนาคเหมือนกันแต่ก็พอมีความแตกต่างกันไปเล็กน้อย อย่างไทยจะบูชานาคอย่างมาก นาคจะมีบทบาทในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่มีตำนานหรือพงศาวดารในด้านอื่นๆ เลย ต่างจากลาวที่พอจะมีบทบาททางสังคมเพิ่มขึ้นแล้วยังมีประเพณีการบูชาพญานาคที่ชัดเจนมากเช่น การบูชานาค 15 ตระกูล ตำนานการตั้งรกร้างของชาวลาวริมแม่น้ำโขง แล้วยังมีเรื่องที่นาคขึ้นมาช่วยดูแลบ้านเมืองที่เขียนไว้ชัดเจนมาก พญานาคทางกัมพูชาจะเด่นด้านการสังคมกว่าที่อื่นๆ อย่างการสร้างกรุงกัมพูชาที่นาคเนรมิตให้พระทองเพื่อรับขวัญลูกเขย พงศาวดารส่วนนี้ไม่มีอะไรหวือหว๋าขอข้ามไปเลยและกัน นอกจากนี้ยังมีตอนสร้างพระนครธมทีมีฉากมนุษย์กับนาครบกันเหตุเพราะว่าในสมัยพระเจ้ากรุงพาลไม่ถวายบรรณาการให้กับพญานาคตามพระเจ้าองค์ก่อนที่ได้ตกลงกันตอนสร้างพระนครธมก็เลยยกพลขึ้นบกแต่ก็แพ้มนุษย์
พระนครธม |
ฉะนั้นไม่ว่านาคจะมีจริงๆ หรือไม่มันไม่สำคัญซะแล้วล่ะครับ เพราะพญานาคเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพงศาวดาร ประเพณี วัฒนธรรม ไปจนถึงความเชื่อการปฏิบัติตัว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแถบนี้ไปซะแล้วล่ะครับ
ป้ายกำกับ:
ประวิติศาสตร์
,
พงศาวดาร
,
พญานาค
,
อารยธรรมโบราณ
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)