14 เม.ย. 2557

ยุคสมัยของมนุษย์โลก

   ไม่ได้นั่งเขียนบทความซะนานเพราะนึกไม่ออกจะเขียนเรื่องอะไร  วันนี้วางแปลนไว้เสร็จและ  ในเมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่แล้วก็เขียนเรื่องมนุษย์โลกมันซะเลย  ถ้าคุณอ่านแล้วจะรู้ว่ามันมีความแปลกในการเรียงลำดับของยุคสมัยอยู่ครับ  อย่างสิ่งก่อสร้างที่ผุดขึ้นไม่ตรงกับยุคสมัย  วัตถุโบราณที่ดูล้ำสมัย(ยังไง??)  พอนำหลายเรื่องมารวมกันเหมือนกับว่ามีชีวิตทรงภูมิปัญญาเคยดำรงอยู่มาก่อนยุคสมัยของเราอย่างไงอย่างงั้น!!

   ตามที่เราร่ำเรียนกันมามนุษย์ถูกแบ่งเป็น 2 ยุคคือยุคหิน เริ่มเมื่อประมาณ 500,000 ถึง 4,000 ปีก่อน  และยุคโลหะ  ในแต่ละยุคก็แบ่งไปอีกอย่างยุคหินแบ่งเป็น  ยุคหินเก่า (500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว )  หินกลาง(10,000 – 6,000 ปีมาแล้ว)   หินใหม่(6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว)  ยุคโลหะแบ่งเป็น 2 ยุค คือ  ยุคสำริด(4,000 – 2,500 ปีมาแล้ว)และยุคเหล็ก(2,500 – 1,500 ปีมาแล้ว)  ยุคที่มนุษย์เดินดินเริ่มรวมตัวเป็นชุมชนเริ่มสร้างอะไรต่อมิอะไรคือยุคโลหะ  นี่คือช่วงเวลาเริ่มสร้างอารยธรรมครับมันอยู่ประมาณ 4,000 ปี ก่อน  ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นยุคหิน  ทำไมไม่รู้ในช่วงเวลายุคหินเนี่ยมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารผุดขึ้น  สิ่งมีชีวิตสปีชี่ไหนมันสร้างเอาไว้ล่ะครับ  บางขิ้นนานถึง 10,000 ปีอยู่ในช่วงยุคหินนู้น 


         
โบราณสถานใต้น้ำโยนากุนิอายุราวๆ 10.000 ปีหรืออยู่ราวๆ ยุคหินกลาง!!

   นักโบราณคดีลองไปค้นหาที่มาที่ไปของสิ่งก่อนสร้างเหล่านั้นก็ไม่เจออะไรมากไปกว่า  พวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อพระเจ้า  โดยพระเจ้า  แต่ส่วนน้อยนะส่วนใหญ่ยังไม่เจอเรื่องราวสิ่งของโบราณเหล่านั้นอย่างโยนากุนินี่ยังเถียงกันไม่จบเลยว่ามนุษย์สร้างหรือธรรมชาติสังสรรค์   ต่อให้เป็นมนุษย์สร้างจริงก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามนุษย์สปีชี่ไหนลงไปสร้างเมืองใต้น้ำแบบนั้น  นาย - นางเงือกเร๊อะ!!  ไม่แค่นั้นบางสถานที่ยังใหญ่โตมโหฬารเกินกำลังมนุษย์ในยุคนั้นจะสร้างได้  หลักฐานอีกอย่างที่ไปเกิดผิดยุคผิดสมัย


   แบตเตอรี่ไหอายุกว่าสามพันปีที่กรุงแบกแดดลักษณะภายนอกก็เหมือนไหนธรรมดาทั่วไปเพียงปากไหถูกปิดด้วยวัตถุประเภทน้ำมันดินมีแท่งเหล็กสอดอยู่ด้านในซึ่งหุ้มด้วยวัสดุประเภทแผ่นทองแดงอีกต่อนึง   Willard F. M. Gray ชาวอเมริกันแห่ง the General Electric High Voltage Laboratory ในเมืองพิตสฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซ็ต  ได้นำต้นแบบมาทดลองสร้างเลียนแบบแล้วเทลงน้ำองุ่นลงไปปรากฏว่ามันสามารถผลิตไฟฟ้าได้จริงๆ ถึงจะน้อยมากก็เถอะแค่ 2 โวลล์เอง  มันเล็กน้อยเสียจนเอาไปทำอะไรไม่ได้เลย  แต่แค่นี้ก็พอจะยืนยันได้แล้วล่ะครับว่าโลกใบนี้ค้นพบไฟฟ้าก่อนนาย Alassandro Volta  ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าไหใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร?? 




   นี่ก็อีกชิ้นหนึ่งค้อนอายุกว่า 140 ล้านปีอยู่ในยุคไดโนเสาร์นู้นมันช่างไกลจากบทเรียนของเราซะเหลือเกินยุดนั้นไม่มีทางมีมนุษย์อยู่แน่นอน  เจ้าค้อนโบราณกาลอันนี้ถูกค้นพบโดยนาย  Max Han ชอบใช้เวลาในวันหยุดไปตกปลากับครอบครัวของเขาที่ Texas มีอยู่วันหนึ่งเขาได้พบกับหินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญบริเวณริมตลิ่ง Han รู้สึกประหลาดใจกับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแท่งไม้ที่โผล่ออกมาจาก หินก้อนหนึ่ง มันดูเก่าและเหมือนฟอสซิลของไม้  เขาลองเอาไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ  ครับ!! มันเป็นของเก่าจริงแต่เก่าเกินกว่าจินตนาการเอามากๆ  แถมส่วนผสมยังต่างๆ กันเหล็กในยุคนี้มากๆ  คือ เหล็ก 96% คลอรีน 2.6% กับกำมะถัน 0.74 % แต่ไม่ยักกะมีคาร์บอน  เนื้อเหล็กยังหลอมด้วยเทคโนโลยีที่สูงเอามากๆ สูงกว่าในปัจจุบันนี้ซะอีกจนกลายเป็นเหล็กที่บริสุทธิ์เนื้อแน่นไม่มีฟองอากาศเลย

  
ค้อนอายุกว่า 140 ล้านปีอยู่ในยุคไดโนเสาร์

   พอแค่นี้ก่อนจริงๆ ยังมีอีกหลายชิ้นเลยไปค้นหากันเองบ้าง  แต่ก็พอจะสรุปได้คราวๆ ว่ายุคสมัยของมนุษย์ที่เราร่ำเรียนกันมามันไม่ตรงซะทีเดียวมีหลายอย่างบอกเราว่าในยุคหินเคยมีอารธรรมมาก่อน  มันชวนให้นึกถึงเรื่องที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกซะจริงๆ ที่บอกว่าในอดีตเคยมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว 3 องค์  ศาสดาของศาสนาพุทธคือพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 และองค์ที่ 5 คือพระศรีอาริยเมตไตยกำลังเวียนว่ายตายเกิดในภพภูติต่างๆ  แล้วแต่ละองค์บรรยายรูปร่างลักษณะอย่างกับเอเลี่ยน  ไม่แน่ว่าจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันกำลังบอกว่าในอดีตเคยมีอารธรรมและล่มสลายแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ได้



6 เม.ย. 2557

เมืองลับแล ปริศนาอาณาจักรลึกลับ

   เขียนเรื่องลึกลับต่างชาติมานานกลับมาเขียนเรื่องลึกลับแบบไทยๆ กันมั่ง  จริงๆ ประเทศไทยเราก็มีเรื่องลึกลับเยอะไม่แพ้ต่างชาติหรอก  แต่ไม่มีใครสนใจฟังเท่านั้นเอง  ต่างชาติเขาโปรโมทเรื่องลึกลับของประเทศตัวเองจนโกยเงินเข้าประเทศตั้งเยอะ แยะแล้ว  ทั้งจากของที่ระลึกเอย  สถานที่ท่องเที่ยวเอย  พอมีคนเข้าไปสินค้าพื้นเมืองก็ขายได้  สร้างงานให้กับคนพื้นถิ่นอีก  และก็มีคนบางจำพวกที่ชอบนำเรื่องลึกลับไปผูกกับเรื่องภูตผีวิญญาณเจ้าเข้า ทรงมั่งล่ะจนกลายเป็นเป็นเรื่องงมงายไป  ทั้งๆ ที่บางเรื่องไม่เกี่ยวกับภูติผีวิญญาณซักหน่อย  ขยันผูกเรื่องกันจริงๆ  

          

   กลับเข้าเรื่องเลยและกัน  อย่างที่จั่วหัวไว้นั้นแหละตอนนี้จะเป็นเรื่องเมืองลับแล  อาณาจักรที่ว่ากันว่าดำรงอยู่คู่ขนานไปกับโลกของเรา  ทำนองเดียวกับโลกใต้พิภพนั่นแหละครับ  แต่อย่าพึ่งเบื่อเพราะเคยได้ยินเรื่องเมืองลับแลที่จังหวัดอุตรดิตย์มาแล้ว นะ  เรื่องที่คนทั่วไปเขาเขียนไปแล้วนายเจซีไม่สนใจจะเขียนซ้ำหรอก  มันต้องเป็นเรื่องใหม่หรือไม่ก็เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักเท่า นั้น  (อุดมการณ์สูง.....)  ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่มีทางซ้ำซากๆ แน่นอน  นอกจากอุตรดิตย์ที่ได้ยินจนคุ้นหูแล้วยังมีเมืองลับแลที่จังหวัดอื่นอีก ครับ  อย่างวัดถ้ำแกลบ  ถ้ำเปี้ยว  วัดเขาบันไดอิฐ  วัดพระพุทธไสยาสน์  วัดถ้ำรงค์  วัดใหญ่สุวรรณาราม  ทั้งหมดอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี   โอ้...เยอะแท้แถมยังลึกลับกว่าอุตรดิตย์อีก  ทั้งทางเดินใต้ดินที่เชื่อมวัด 4 วัดและอาจจะเป็นทางเดินเข้าออกของชาวเมืองลับแล  เรื่องเล่าทางลับปริศนาที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้าง  และสร้างไว้ทำไม  ตำนานพระนิ้วหินที่หลงเข้าถ้ำที่เพชรบุรีแต่ไปโผล่ที่ราชบุรีระหว่างทางท่าน เจอเมืองลับแลที่มีแต่ผู้หญิงเข้าให้



   ลึกลับใช่เล่นแฮะ!!  เกริ่นนำพอสมควรจากนี้ขอลงในรายระเอียดให้มันชัดเจนไปเลย  เริ่มต้นที่วัดถ้ำแกลบเลยและกันวัดนี้มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดบุญทวี"  ในเขตวัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งชื่อว่า "ถ้ำแกลบ"  ชื่อกระโหลกกระลาแท้ๆ แต่ว่ามันมีที่มาครับ  สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะมักมีคนพบแกลบกองเท่ากระบุงอยู่ในถ้ำบ่อยๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ก็เลยนำไปรวมกับเรื่องทางเข้าออกของเมืองลับแล  กลายเป็นว่าคนเมืองลับแลสีข้าวแล้วเอาแกลบมาทิ้ง  แถบนี้มีตำนานเมืองลับแลอยู่เรื่องหนึ่งออกจะคล้ายๆ กับเรื่องที่อุตรดิตย์   เรื่องมันมีอยู่ว่า.......



   มีชายคนหนึ่งมีอาชีพทำน้ำตาลและรับปาดตาล  ทุกวันจะออกไปปีนต้นตาลตั้งแต่เช้าตรู่  ก็ปาดตาลไปเรื่อยเหมือนปกติของทุกๆ วันนั่นแหละครับ  และแล้ววันหนึ่งเขาเจอผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำทำท่าลับๆ ล่อๆ เอาของบางอย่างซ่อนไว้แล้วเดินจากไปพอเย็นๆ ก็เดินกลับมาเอาของที่ซ่อนไว้แล้วเข้าถ้ำไป  ชายหนุ่มนักปาดตาลเห็นเหตุการณ์แบบนี้อยู่หลายครั้งเลยตัดสินลงไปดูให้มัน รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามันเป็นอะไร  รุ่งขึ้นอีกวันรอจนพวกนางไปหมดแล้ว  เขาลงไปถึงหน้าถ้ำหายจนทั่วก็ไม่เจออะไรมีแต่แกลบกองอยู่หลายกอง  ก็เลยหยิบติดมือมากองหนึ่งแล้วกลับไปทำงานต่อ  เย็นวันนั้นหญิงกลุ่มนั้นก็กลับมาหยิบของอะไรซักแล้วกลับเข้าถ้ำแต่ว่าครั้ง นี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ นะซิครับ  มีหญิงหนึ่งในนั้นนั้งร้องไห้อยู่หน้าถ้ำ  ลองไปถามดูนางบอกว่าของของนางหายเลยกลับเข้าไปไม่ได้  เขานึกได้ว่าตัวเองหยิบแกลบมากองหนึ่งเลยเอามาคืน  กลายเป็นว่าแกลบกองนั้นคือของสำคัญที่ใช้ผ่านเข้าออกเมืองลับแล  แล้วทั้งคู่ก็รักกันตามแบบฉบับตำนาน  พล็อตต่อจากนี้ก็เหมือนเรื่องที่อุตรดิตย์แหละครับ  ชายปาดตาลเผลอพูดโกหกเหตุผลเดียวกันเป็ะ!!  เลยโดนไล่ออกจากหมู่บ้านและภรรยาให้ขมิ้นใส่ยามยื่นให้แล้วไม่พูดอะไร ระหว่างทางก็โยนทิ้งไปบ้าง  กลับมาถึงบ้านขมิ้นดันกลายเป็นทอง



   พล็อตเดียวกันเมืองลับแลที่อุตรดิตย์เลย  ที่เพิ่มเข้ามาก็คือมีแกลบเป็นบัตรผ่านประตู  อืม....ขนาดกลับถึงบ้านขมิ้นกลายเป็นทองได้  แกลบกลายเป็นบัตรผ่านประตูมันก็ไม่แปลกหรอกนะ  นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เล่าลือกันว่ามีทางเดินใต้ดินที่เป็นของชาวลับแล เชื่อมวัด 4 วัดเข้าด้วยกันคือ วัดถ้ำแก้วเขาวัง วัดพระพุทธไสยาสน์ วัดเขาบันไดอิฐ วัดถ้ำแกลบ  วัดอื่นๆ ทางเข้าอยู่ตรงไหนก็ไม่ทราบแหล่งข้อมูลของผมก็เรียบเรียงมามั่วๆ ไว้หาเจอจะเอามาบอก  แต่ที่วัดพระพุทธไสยาสน์หรือเรียกกันติดปากว่า "วัดพระนอน"  ที่มีพระนอนองค์ใหญ่โตมโหฬารนั่นแหละ  เชื่อกันว่าทางเดินลับใต้ดินที่ว่านั้นอยู่ที่ใต้พระนอนนั่นเอง  เรื่องนี้ไม่ได้เล่ากันลอยๆ นะครับมีเรื่องประกอบด้วย  ว่ากันว่าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในสงครามเก้าทัพพม่าล้อมเมืองนี่ อยู่  แต่ไม่รู้ว่าเหตุอันใดทหารไทยลอบตีข้างหลังพม่าได้ทั้งๆ ที่ถูกล้อมอยู่  ชาวบ้านก็เลยเชื่อว่าทหารไทยลอบออกไปทางลับใต้ดินที่มีเรื่องเล่ามาช้านาน นั่นเอง  


   พอนำไปรวมกับเรื่องเล่าชาวบ้านที่อ้างว่าสำรวจถ้ำบางแห่งในภูเขาแถบนั้นเช่นถ้ำเปี้ยว  ถ้ำเขาหลวง  แล้วเจอทางเดินที่ไม่น่าจะเป็นทางธรรมชาติสร้างเพราะมันราบเรียบแถมเจอข้าวของเก่าๆ ทิ้งไว้เกลื่อนกลาด  บางถ้ำมีทางเดินในถ้ำก็ทอดยาวไปไกลน่าจะเรียกว่าอุโมงค์มากกว่า  เมื่อเดินถึงสุดทางกลับเจอแผ่นปูนซีเมนต์ปิดอยู่  เรื่องที่มีข้าวของทิ้งเกลื่อนพอจะอธิบายได้ว่าเป็นที่หลบภัยเวลาเกิดสงคราม  ที่เรื่องผนังปูนซีเมนต์นี่ซิมันมายังไง??  แล้วบังเอิญที่ถ้ำเขาหลวงก็มีผนังปูนปิดอยู่เขาติ๊ต่างว่านี่คือเขตแบ่งเมืองลับแลกับเมืองเพชรบุรี  เรื่องนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้เพราะไม่เคยไปเหมือนใครไปมาแล้วแวะมาบอกหน่อยและกันว่าจริงไหม  ไม่งั้นนายเจซีคนนี้ก็โดนแหกตาแน่ๆ!!  แล้วก็บังเอิญเหมือนจงใจที่วัดถ้ำรงค์เล่ากันว่ามีทางเข้าอยู่หลังวัดแต่ปัจจุบันทางเข้านั้นถูกปิดไปตามระเบียบ

   เห้อ!!!!  ตัดตอนไปหลายส่วนทีเดียวพระนิ้วเพชรก็ยังไม่ได้พูดถึง  หลวงพ่อดำที่วัดถ้ำรงค์ชอบออกมาเดิน  พระออกมาเดินก็ไม่แปลกหรอกนะแต่หลวงพ่อดำที่ว่านี่เป็นพระพุทธรูปน่ะซิครับ  แค่นี่ก็รีบเขียนจะแย่แล้วเอาไว้วันหลังจากหมดมุกเขียนจะเอาเรื่องเล่าชาวบ้านมาลงให้อ่านและกัน

 

3 เม.ย. 2557

เรื่องของนาค

   ทิ้งบล็อกนี้ไปนานตอนแรกก็แค่สร้างไว้ลวกๆ แต่ยอดวิวดีเหลือเกินเลยกลับมาเขียนต่อ  เรื่องที่แล้วเขียนเรื่องครุฑไว้และคงจะขาดเรื่องพญานาคไปไม่ได้  ยังไงๆ มันก็เป็นของคู่กันแหละน่า  ตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรของนาคดี  เพราะคนอื่้นๆ เขาเขียนลงเว็บลงบล็อกกันไปหมดแล้ว  แล้วหลายๆ เรื่องคนก็รู้กันอยู่แล้ว  คิดไปคิดมาเอาเรื่องนาคในพงศาวดารต่างๆ ของประเทศเพื่อบ้านก็แล้วกัน  คิดว่าหลายๆ คนอาจไม่รู้ก็ได้







     นอกจากไทยแล้วประเทศเพื่อนบ้านเราก็มีเรื่องเล่าของนาคเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันไปตามสังคมเมืองของเมืองนั้นๆ อย่างพม่าสถานะทางสังคมของพญานาคดูเหมือนไม่ดีเท่าไร  มีบันทึกอยู่หลายเรื่องที่พูดถึงนางนาคที่ขึ้นมาความสัมพันธ์กับผู้มีบุญแต่ไม่รู้บุญกรรมแต่ปางไหนมักทีจุดจบไม่สวยนักมักมีเหตุเป็นไปซะทุกเรื่อง   แม้แต่ชนชาติมอญก็ได้รับอิทธิพลนี้อยู่เหมือนกัน  มีพงศาวดารของมอญเรื่องหนึ่งเขียนไว้ว่า 

   กาลครั้งหนึ่ง...(อืม..ขึ้นต้นอย่างกันนิทานอีสปเลยเรา)  มีฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า "โลมดาบส"  อาศัยบนภูเขาหงอนนาค  ขณะเดินหาผลไม้ไปตามท้องเรื่องได้ไปเจอไข่ฟองหนึ่งของนางนาคที่แอบขึ้นมามีความสัมพันธ์กับเพทยาธรจนมีลูกด้วยกัน  พอคลอดลูกออกมากลับเป็นไข่เพทยาธรจึงรู้ว่าผู้หญิงทีนอนด้วยทุกคืนเป็นนาคเลยเกิดความเบื่อหน่ายหนีไป  ส่วนนางนาคก็หนีกลับเมืองนาคไปเหมือนกัน  ก็เหลือแต่ฤาษีโลมดาบสที่ต้องรับบทเลี้ยงดูไข่นาค  พอไข่แตกออกมาเป็นกุมารีสวยสดงดงามฤาษีก็เลี้ยงตูจนเติบใหญ่  เรื่องต่อจากนี้เราๆ ท่านๆ คงเดาออกแล้วล่ะว่าจะเป็นอย่างไงต่อไป  พรานป่ามาเจอ > ไปบอกพระเจ้าแผ่นดิน > ให้เสนาอำมาตย์มาขอ > แต่ตั้งเป็นอัครมเหสี  พล๊อตเรื่องเดียวกับละครจักรๆ วงค์ ๆ เช้าเสาร์ - อาทิตย์  เป๊ะ!!  ข้ามตอนมีลูกแฝดไปถึงจุดไคลแมคเลยและกัน  พระวิมลาราชเทวีที่ออกมาจากไข่นางนาคนั่นแหละ  เวลาเธอพิโรธโกรธานางสนมผู้ใดแล้ว  ผู้นั้นจะตายด้วยพิษของนาค  เรื่องนี้เป็นที่สงสัยไปถึงพระเจ้าเสนะคงคา  พระองค์ทรงเปิดประชุมบรรดาเสนาอำมาตย์จนได้ข้อยุติว่านางอาจมีชาติเป็นนาค  ปุโรหิตจึงประกอบยาขึ้นมาตัวหนึ่ง  ยาอะไรก็มิทราบได้เมื่อพระวิมลราชเทวีประพรมต่างผัดแป้งร่างกายก็ซูดผอมจนถึงแต่ความตายถึงได้รู้นางมีชาติเป็นนาค  ทรงผลให้ลูกแฝดของนางนาคโดยขับไล่ออกจากเมืองไปกลับไปอยู่กับฤาษี

พญานาคในไทยจะมีแต่เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา


   มันตรงกันข้ามกับไทย  ลาว  กัมพูชาชะจริงๆ เพราะนาคมักได้รับการบูชาพอๆ กับเทวดา  อืม...จะมากกว่าซะด้วยมั้ง  จากเท่าที่รู้มารู้สึกว่าถึงจะนับถือนาคเหมือนกันแต่ก็พอมีความแตกต่างกันไปเล็กน้อย  อย่างไทยจะบูชานาคอย่างมาก  นาคจะมีบทบาทในทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นไม่มีตำนานหรือพงศาวดารในด้านอื่นๆ เลย  ต่างจากลาวที่พอจะมีบทบาททางสังคมเพิ่มขึ้นแล้วยังมีประเพณีการบูชาพญานาคที่ชัดเจนมากเช่น  การบูชานาค 15 ตระกูล  ตำนานการตั้งรกร้างของชาวลาวริมแม่น้ำโขง  แล้วยังมีเรื่องที่นาคขึ้นมาช่วยดูแลบ้านเมืองที่เขียนไว้ชัดเจนมาก  พญานาคทางกัมพูชาจะเด่นด้านการสังคมกว่าที่อื่นๆ อย่างการสร้างกรุงกัมพูชาที่นาคเนรมิตให้พระทองเพื่อรับขวัญลูกเขย  พงศาวดารส่วนนี้ไม่มีอะไรหวือหว๋าขอข้ามไปเลยและกัน  นอกจากนี้ยังมีตอนสร้างพระนครธมทีมีฉากมนุษย์กับนาครบกันเหตุเพราะว่าในสมัยพระเจ้ากรุงพาลไม่ถวายบรรณาการให้กับพญานาคตามพระเจ้าองค์ก่อนที่ได้ตกลงกันตอนสร้างพระนครธมก็เลยยกพลขึ้นบกแต่ก็แพ้มนุษย์

พระนครธม


   ฉะนั้นไม่ว่านาคจะมีจริงๆ หรือไม่มันไม่สำคัญซะแล้วล่ะครับ  เพราะพญานาคเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพงศาวดาร  ประเพณี  วัฒนธรรม  ไปจนถึงความเชื่อการปฏิบัติตัว  มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแถบนี้ไปซะแล้วล่ะครับ