บนพื้นปฐพีใต้ฝ่าเท้าเรายังมีเรื่องลึกลับอีกมากมายนักที่เราหาคำอธิบายไม่ได้และหลายเรื่องเรายังไม่เจอพบเจอไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดทั้งหลายเหล่ที่อ้างกันว่าพบตัวเป็นๆ บ้างล่ะ แต่เรื่องที่ผมจะนำเสนอนี่มันไม่เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดอะไรนั้นหรอกแต่เป็นเรื่องการหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินถ้าหายไปกี่สิบลำมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกแต่มันหายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและยังหายในหลักร้อยลำนะซิ ดินแดนแห่งนั้นเสมือนฝาแฝดของสามเหลี่ยมเบอร์บิวดาแต่อยู่ตรงข้ามกันพอดีบริเวณทะเลตอนใต้ของญี่ปุ่นมันมีชื่อว่า สามเหลี่ยมมังกรปีศาจ
เหตุการณ์ประหลาดในสามเหลี่ยมมังกรปีศาจคล้ายคลึงกับสามเหลี่ยมเบอร์บิวดามากทั้งเข็มทิศแปรแปรว อยู่ๆ เกิดคลื่นลมไม่ทราบที่มาที่ไปและตามมาด้วยคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหวใต้ทะเล หมอกควัน พายุสลาตัน ที่กล่าวทั้งหมดมันเป็นเรื่องธรรมดาในบริเวณเขตภูเขาไฟใต้ทะเล อ้าว ! งั้นมันอาถรรพ์ตรงไหน มันก็อาถรรพ์ตรงที่มีเรือเดินสมุทรและเครื่องหายไปมากเป็นพิเศษจนไม่น่าจะใช่ความบังเอิญ มีหลายคนต่างตั้งข้อสัณนิฐานต่างๆ นานาบ้างก็ว่าเป็นเพราะคลื่นแม่เหล็กโลกแปรแปรวนก็ก็ยังหายสาเหตุของการแปรแปรวนไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีการสัณนิฐานไปถึงสัตว์ประหลาดยักษ์ใต้ท้องทะเลอย่างมังกร และยังรวมถึงมนุษย์ต่างดาวด้วย
แต่ข้อสัณนิฐานที่น่าจะเข้าเค้าขึ้นมาหน่อยน่าจะเป็นตรงที่ตั้งของดินแดนทั้ง 2 แห่งอยู่ในเขตน้ำตื้นฝั่งตะวันออกแล้วลาดชันลงไปยังน้ำลึกซึ่งมีคลื่นใต้น้ำรุนแรงมาก และมีหุบเหวระดับลึกต่างๆ กันและยังมีภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่โดยเฉพาะสามเหลี่ยมมังกรปีศาจมีเหวลึกใต้ทะเลที่ชื่อว่า เหวลึกริวกิว มาเรียนาและเหวลึกฟิลิปปินส์ ปี 1960 หน่วยวัดเขตน้ำลึกทรีสต์ของสหรัฐวัดมาเรียนาได้ 36,198 ฟุต ก็ประมาณ 11033 เมตร เทือกเขาหิมาลัยสูงแค่ 29,028 ฟุต หรือ 8,847 เมตรเองและในร่องเหวนั้นเองอาจจะมีสัตว์ประหลาดหรือพลังอะไรซักอย่างอยู่ในนั้น
บันทึกการสาบสูญ
ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าเรือที่หายไปเกิดจากมังกรใต้ทะเลหรือปีศาจอะไรซักอย่างที่สุดจะจินตนาการได้ลากจมทะเลไป ปัจจุบันชาวเกาะต่างๆ ยังเชื่อว่าคลื่นจากเรือที่ซัดเป็นระลอกๆ ปลุกให้กุ้งยักษ์ใต้ทะเลให้ตื่นขึ้นมาอาละวาด แต่จะเชื่อว่าสัตว์ประหลาดอะไรก็ตามแต่ออกมาอาละวาดก็ถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีอันล้ำลึกของมนุษย์แต่กลับไม่สามารถไขความลับความบ้าคลั่งของท้องทะเลได้ตรงกันข้ามเรือที่ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์ที่มีระวางขับน้ำถึง 200,000 ตันก็หายไปอย่างไร้ร่องลอยมาแล้ว ทำเอางงกันเป็นแถวๆ ว่าคลื่นน้ำทะเลมันจะสูงขนาดไหนถึงกับคว่ำเรือแบบนั้นได้
เรือเบิร์ก อิสตรา หรือเรียกสั้นๆ ว่า ยักษ์เขียว ระวางขับน้ำ 227,912 ตัน จมลงในร่องเหวลึกมินนาเนาในวันที่ 29 ธันวาคม ปี 1975 ทั้งๆ ที่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้แต่ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณแต่อย่างใด ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที โรแนลด์ เลอ มาร์ช เจ้าหน้าที่สื่อสารประจำเรือกำลังโทรคุยกับภรรยา เขาเล่าให้ภรรยาฟังว่าขณะนึ้ท้องฟ้าแจ่มใส ทะเลสงบนิ่ง อากาศเย็นสบาย แล้วขาดการติดต่อไป จากลูกเรือ 30 คนเหลือรอดเพียง 2 คน ผู้รอดชีวิตเล่าว่าหลังจากสวมเสื้อชูชีพแล้วกระโดดออกจากเรือ จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิด มีคนสัณนิฐานเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเรือลำนั้นอาจถูกจี้ปล้นไป แต่ประทานโทษ ! ทำไมลูกเรือ 2 คนนั้นถึงไม่รู้เรื่องล่ะ ข้อสัณนิฐานนี้เป็นอันตกไป ข้อสัญนิฐานที่ฟังขึ้นจึงมีเพียงข้อเดียว คือเรือล่มเพราะถูกคลื่นซึนามิที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันซัดเข้าอย่างจัง แน่นอนว่าเสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงของคลื่นซึนามิประกอบกับบรรทุกแร่เหล็กหนัก 188,000 ตันเป็นผลทำให้เรือหักกลางลำแล้วล่มจมลงไป
สี่ปีต่อมาเรือเบิร์ก แวนกา จากบริษัทเดียวกัน เดินเส้นทางเดียวกัน สร้างจากอู่เดียวกัน บรรทุกแร่เหล็กเหมือนกัน แล้วก็หายไปในลักษณะเดียวกัน ไม่เจอร่องลอยเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ลูกเรือ 40 คนเสียชีวิตหมดไม่เหมือนกัน
นอกจากนั้นยังมีเรืออีกหลายลำยังที่จมลงในลักษณะเดียวกันทั้ง เรือแคลิฟอร์เนีย มารุ ระวางขับน้ำ 200,000 ตัน จมเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 1970 เรือโบลิเวียร์ มารุ ล่มเมื่อมีนาคม ปี 1969 เรือโซเฟีย แป๊ปป๊าส หายสาบสูญ 6 มกราคน ปี 1970 ลูกเรือที่รอดชีวิตต่างพูดเหมือนกันว่า
“ได้ยินเสียงระเบิด !?!” แล้วอะไรคือเสียงระเบิดที่เขาพูดถึง
เรือบานาลูนา ระวางขับน้ำ 13,616 ตันหายสาบสูญระหว่างเดินทางไปยังเกาะโคคูรา จำนวนลูกเรือ 35 คนและไม่พบร่องลอยของเรือหรือลูกเรือเลยสักคน
ขอเล่าย้อนกลับไปซักหน่อยแล้วมาเปรียบเทียบกัน เรือกุโรชิโอ มารุ หมายเลข 1 ระวางขับน้ำ 11,525 ตัน หายสาบสูญใกล้เกาะโบนินวันที่ 19 เมษายน ปี 1949 หลังจากนั้นอีก 3 วัน เรือกุโรชิโอ มารุ หมายเลข 2 ก็จมลงในบริเวณสามาเหลี่ยมมังกร
เรือโชฟูกุ มารุ หมายเลข 5 ระวางขับน้ำ 66 ตัน หายสาบสูญในวันที่ 8 มิถุนายน ปี 1952 ห่างจากโอกุราจิมาไปทางตะวันออก 120 ไมล์ และเรือไคโอ มารุ ระวางขับน้ำ 500 ตัน หายสาบสูญในวันที่ 24 กันยายน
เรือชินชี มารุ ระวางขับน้ำ 62 ตัน จมหายใกล้เกาะซูมิซู ในเขตโอกาซาวาระ ในปี 1953 และเรือโคชิ มารุ หมายเลข 16 ระวางขับน้ำ 150 ตันจมลงในบริเวณตะวันออกของเกาะอิโว จิมา
ปี 1954 มีเรือจมหายไป 4 ลำจมหายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลำแรกคือ เรือกุโรชิโอ มารุ หมายเลข 3 ระวางขับน้ำ 1,525 ตัน จมหายบริเวณ้กาะนิชิโนชิมา เรือฟูโช มารุ หมายเลข 2 ระวางขับน้ำ 227 ตัน หายไปบริเวณใกล้กับเกาะมิยาเคจิมา เรือไซโช มารุ หมายเลข 1 ระวางขับน้ำ 190 ตัน จมลงบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะโอคูราจิมา และเรือชิโย มารุ หมายเลข 15 ระวางขับน้ำ 18 ตัน หายสาบสูญบริเวณใกล้เกาะคินันโช
เรือ 4 ลำที่จมลงในปี 1954 ที่ว่ามานี่ทุกลำหายไปอย่างลึกลับไม่มีใครบอกถึงสาเหตุการณ์จมอย่างชัดเจน พูดอย่างๆ ว่า “กูก็ไม่รู้ !?!”
ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมาเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีการเดินเรือพัฒนาขึ้นมากแต่ก็ไม่ได้ไขความกระจ่างสาเหตุที่เรือหายไปหรือจมลงอย่างปริศนาเลย
สงสัยจะไล่ยังไงก็คงไล่ไม่หมดขอข้ามไปเกริ่นเกี่ยวกับเรือดำน้ำของรัสเซียซักเล็กน้อย ด้วยเหตุเรือดำน้ำส่วนใหญ่ติดหัวรบนิวเคลียร์ทางรัสเซียจึงปิดเป็นความลับแต่ก็พอมีเล็ดลอดออกมาได้บ้าง เท่าที่รู้มามีอยู่ 13 ลำ มีหลายลำที่มีหลักฐานแสดงถึงสาเหตุการจมอย่างชัดเจนแต่ที่ยังไม่รู้อีกเท่าไหร่ สงสัยกันว่าใต้ทะเลบริเวณนั้นคงจะมีหัวรบนิวเคลียร์กองเท่าภูเขาแล้วล่ะมั้ง !?! แล้วถ้ามันประเบิดขึ้นมาคงไม่ต้องคิดหรอกนะทะเลแถบนี้เป็นอัมพาตแน่ๆ
สาเหตุที่เรือหายไป เหตุผลหลักๆ ที่ทุกคนคิดก็คงหนีไม่พ้นคลื่นยักษ์ พายุ และน้ำวนใต้มหาสมุทร แต่ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจจะลืมไปนั่นก็คือทุ่นระเบิดใต้น้ำ เป็นทุนระเบิดที่ทั้งญี่ปุ่น รัสเซีย วางทุ่นระเบิดดักฝ่ายตรงข้ามในช่วงสงครามโลก ญี่ปุ่นเองช่วงสงครามก็วางทุ่นระเบิดประมาณ 51,400 ทุ่นและเหลือที่ยังไม่ได้กู้อีก 39,00 ทุ่น ถึงแม้ว่าหลังจากสงครามจบไปทั้งรัสเชียและพันธมิตรจะร่วมมือกันกวาดล้างทุ่นระเบิด แต่อนิจจังกลับไม่มีเทคโนโลยีทำลายระเบิดได้ต้องรอให้มันสลายพลังงานไปเอง แล้วมันอีกกี่ร้อยกันล่ะ !?! ก็เลยต้องปล่อยให้มันลอยขว้างอยู่กลางทะเลอย่างงั้นใครแล่นเรือไปชนเข้าก็ถือว่าโชคร้ายไปก็แล้วกัน นี่ผลพ่วงของสงครามล่ะ ! แต่ไม่ต้องห่วงข้อมูลที่ผมได้มามัน 20 กว่าปีแล้ว
เครื่องบินที่หายสาบสูญ
ไม่ใช้แต่เรือเดินสมุทรเท่านั้นยังมีเครื่องบินก็เข้าร่วมวงกับเขาด้วยมีทั้งเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินรบ มาลองคิดกันเล่นๆ ดีกว่าว่าเพราะอะไร
วันที่ 12 มีนาคม ปี 1957 เครื่องแบบ KB – 5 พร้อมด้วยลูกเรือ 8 คน หายสาบสูญไปในขณะอากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส ระหว่างบินจากญี่ปุ่นกับเกาะเวกโดยไม่มีสาเหตุ และไม่มีการติดต่อสื่อสาร
เครื่องบินโจมตีแบบ AUS NAVY JD – 1 หายสาบสูญไประหว่างทางที่บินจากญี่ปุ่นไปโอกินาวาในวันที่ 16 มีนาคม 1957 ทั้งๆ ที่อากาศดี ไม่มีสัญญาณติดต่อ ไม่พบซากอับปางและนักบินแต่อย่างใด ถึงแม้จะติดตามหลายครั้ง
วันที่ 22 มีนาคม ปี 1957 เครื่องบินลำเลียงสหรัฐฯ แบบ C – 7 พร้อมทหาร 67 คน หายสาบสูญไปอย่างลึกลับทางตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ขณะกางล้อเตรียมจะร่อนลงสนามบิน แต่สัญญาณติดต่อครั้งล่าสุดรายงานว่า อยู่ห่างจากโตเกียวราว 200 ไมล์ ทัศนวิสัยในขณะนั้นดีมาก จากนั้นก็ขาดการติดต่อหายไปไม่มีใครได้พบหน้าทหารและซากเครื่องบินอีกเลย แม้จะค้นหาร่วมหลายหมื่นตารางไมล์
วันที่ 19 มีนาคม ปี 1957 ประธานาธิบดีรามอน แมกไซไซ แห่งฟิลิปปินส์พร้อมคณะเจ้าหน้าที่และลูกเรือ 24 คน ได้หายสาบสูญขณะบินผ่านใกล้เกาะเซบู ทางการฟิลิปปินล์ระดมค้นหาพื้นดิน อากาศ และทางพื้นน้ำ แถบจะพลิกแผ่นดินหาแต่ก็ไม่เจอ ถือว่าเดือนมีนาคมปี 1957 เป็นเดือนอาถรรพณ์เลยก็ว่าได้
เครื่องบินรบแบบ 2 เครื่องยนต์แบบ USAF F-3B ที่บินได้ทุกสภาวะอากาศ มันทะยานจากอัตซูกิแอร์ฟอร์ชได้ 15,000 ฟุต แล้วก็หายไปตามระเบียบ หาไม่เจอแม้แต่ซาก
แล้วยังมีการหายใกล้ฐานบินเย้ยญี่ปุ่นอีกด้วยเป็นเครื่องบิน P2V – 7 ที่กำลังลาดตะเวนค้นหาเรือดำน้ำ ในวันที่ 27 เมษายน ปี 1971 ขณะนำลูกเรือ 8 คน ออกฝึกบินตอนกลางคืน ขาบินขึ้นไม่มีปัญหา แต่ขาลงกลับมีฝนฟ้าแปรแปรวน จึงขอลงบนสนามบินแต่ก็หายไปไม่มีใครพบตามระเบียบไปอีกราย 2 เดือนต่อมาเครื่องฝึกบินเดี่ยว IM – 1 ได้หายสาบสูญไม่มีใครพบอีกเหมือนกัน
วันที่ 10 เมษายน ปี 1970 เครื่องบินแบบ USAF – 130 หาบสาบสูญไปพร้อมกับลูกเรือ 9 คน เครื่องบินเล็กแบบ JA – 341 หายไปขณะค้นหาเรือแคลิฟอร์เนีย มารุ ที่หายไป
ทุกลำมักจะหายไปเสียเฉยๆ ไม่มีทั้งสัญญาณเตือน ท้องฟ้าก็แจ่มใสเสียส่วนใหญ่ ไม่มีทั้งคลื่น ทั้งลม หาซากก็ไม่เจอถ้าไม่มีการเล่นตลกทางการทหารนับว่าเป็นเหตุการณ์แปลก ทำให้ข้อสัณนิฐานเรื่องมนุษย์ต่างดาว จานผี ลักพาตัวมนุษย์ไปทดลองอะไรบางอย่างเริ่มมีเค้าความจริงขึ้นมาบ้าง แต่ยังไงก็ยังไม่พ้นเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์อยู่ดี